[ 12 Pix ] *Feel Like a เจอนี่ Yokohama

Montri Boonyasat

เดินเล่นสบายๆ ถ่ายรูป ท่าเรือ ตึกแดง กะแสงเย็น

“ง่าย คือ ดี” บล็อกนี้เขียนขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มี 3 คำนี้ Jaggi (แจ็กกี้) เพื่อนผมไปอยู่ญี่ปุ่นมา 2 สัปดาห์ ทุกๆ วันเขาจะเดินออกจากที่พักตอนสายๆ เพื่อนั่งรถไฟสักขบวนจากชานชาลาในสถานีอุเอโนะไปชมเมืองรอบๆ ให้สัญญากับตัวเองว่ามาอยู่ที่นี่จะออนไลน์ให้น้อยกว่าอยู่เมืองไทย เพราะปวดคอแล้ว ยิ่งตอนเดินตาต้องมองทางมากกว่ามองจอ ตามมารยาทที่ดีของวัฒนธรรม

กิจกรรมอย่างหนึ่งในทริปของนักเดินทางรายนี้ เมื่อเข้าร้านไหนแล้วอยากรู้ว่าร้านนั้นกำลังเปิดเพลงอะไรในครัว เขาจะใช้แอพฯ ชื่อ “Shazam” ยื่นไอโฟนออกไปจากข้างลำตัวรับซาวนด์ รอบข้างมาค้นหา เพลงช่วยสร้างความทรงจำให้สถานที่นั้นๆ ได้ดี ดั่งตัวอย่างและคำบรรยายไม่เกินบรรทัด (กดฟังตามได้)

“บรรเลง เพลงดี ณ ร้านขายไส้กรอกแห่งนึงแถบ ueno”
Flower / やさしさで溢れるように「Yasashisa de Afureru You ni」

“เพลงนี้ลอยมา กลางงาน pop up portland ~” 
Hold Me, Thrill Me, Kiss Me — “She & Him”

“ร้านราเมง เปิดเพลงนี้ คนลวกหัวล้าน มีหนวดเหมือนฮิตเลอร์”
Everything — Misia

โยโกฮาม่า จังหวัดคะนะงาวะ ในวันที่เขาไป ก็เป็นโยโกฮาม่าแบบที่เห็นในภาพ เดินคุยกับเพื่อน ไม่ได้มีแพลนอะไร เดินทางด้วยรถไฟราว 42 นาทีจากโตเกียวมาง่าย เมื่อมาแล้วได้พบกับสายลมเย็นของเมืองที่มีสไตล์ มีตึกสูง สะพานสวย มีทางเดินเล่นตรงท่าเรือ มีสปีดผู้คนช้ากว่ามหานคร หลายคนมาแล้วมักชอบ

สำหรับเพื่อนผมคือ ได้ไปมีความเพลิน เดินไปถ่ายรูปไป

ก็มีหยุดรู้สึกดีกับบรรยากาศบ้าง ซื้อขนม กินไอติม รับความสดชื่นจากอากาศริมทะเลท่าเรือ แล้ววันนั้นตรง “โยโกฮาม่าเรดบริคแแวร์เฮาส์ โกดังเด่นสีแดง” (Yokohama Red Brick Warehouse) มีเทศกาลดนตรีประจำปีชื่อว่า “Greenroom Festival” มีวงดนตรีอินดี้หลากหลายแนวเช่น อิเลคทรอนิกส์ โฟล์ค ร็อกมาเปิดแสดง งานจะจัดขึ้นในเสาร์อาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ภายใต้ธีม “Music — Art — Film” ห้องสีเขียวในตึกสีแดง ชื่อเกร๋สุด ! งานนี้เป็นหมุดหมายของวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวโยโกฮาม่าและใกล้เคียงมาหลายปีแล้ว




ตั๋วเข้างาน 2 วันราคาเหมา ¥ 17,000 เยน (5,568 บาท) ตั๋ววันเดียว ¥ 9,800 เยน (3,210บาท) เป็นมิวสิคอีเวนท์ที่ชวนรื่นรมย์มากตั้งแต่บริเวณหน้างาน ได้สัมผัสถึงโยโกฮาม่าที่มีกิจกรรมของวัยรุ่นที่รักศิลปะ แฟชั่น ดนตรี มารวมตัวกันอย่างมีชีวิตชีวา สอดคล้องกับในอดีตชาวเมืองนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า“ฮะมักโกะ” (Hamakko) ในภาษาญี่ปุ่น ที่หมายถึงผู้คนที่สดใสและเต็มใจเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เพราะโยโกฮาม่าเป็นเมืองท่าเรือน้ำลึกของประเทศมา 157 ปีถือเป็นบานประตูแรกสู่มหาสมุทรในฝั่งภูมิภาคคันโตที่เปิดให้กะลาสีเรือจากทั่วทุกสารทิศมาทิ้งสมอทำการค้ากับชาวญี่ปุ่น


ผู้คนในโยโกฮาม่าสมัยนั้นมีราว 600 ชีวิต อยู่กันแบบหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แล้วค้าขายแลกเปลี่ยน เปิดรับกับวัฒนธรรมจากชาติอื่น ที่นี่จึงมีไชน่าทาวน์ขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับที่โกเบภูมิภาคคันไซ ที่มีลักษณะเป็นพอร์ตน้ำลึกเหมือนกัน

เดินเล่นในงาน Greenroom สักพัก เริ่มตกเย็นแสงใกล้หมด เขาปล่อยให้สองขากับสองตาช่วยคัดเลือกภาพที่จะบรรจุลงกล้องต่อไป แลนด์มาร์คของเมืองนั้นพอมี แต่ให้มาบรรยายใต้ภาพว่าที่ไหนชื่ออะไรใส่ข้อมูลแน่นหนา รายละเอียดยุบยับ ทำได้แต่ยากและยาวเกินไปละ เพราะพวกเรา jaggi และผมช่วยกันถแชร์เรื่องนี้ด้วยความคิดว่า

“ง่าย คือ ดี”

เรียบง่าย คือ ใช่

โยโกฮาม่าวันที่เขาไปเป็นอย่างนั้น

จบ.


Photo Copyright : ©Jaggi Supapornpasuphat
FB : Feel like a journey
Following :[email protected]/* */

Created : ©มนตรี บุญสัตย์ 
ออกเดินทางไป | ฟังเรื่องเล่า | เพื่อมาเขียนเรื่องราว
FB : Travoiceler

ติดตามเรื่องใหม่ๆในเมืองโยโกฮาม่า
Click : FB official fanpan Yokohama Visitors Guide
Click : วิธีเดินทางด้วยรถไฟจากโตเกียว

Travel Often Stay Humble 
#

ซาโตชิ นักสะสมแมลงป่า [จุดเริ่มต้น Pokémon G0]

ผมอยากเล่าเรื่องของคุณซาโตชิ ทะจิริ (Satoshi Tajiri) ให้ฟังครับ
เขาคนนี้ทำให้ชีวิตผู้คนหลายสิบล้านคนทั่วโลกในวันนี้…ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ซาโตชิ เกิดและโตที่ชานเมืองโตเกียว
ตอนเด็กๆ เขาไม่ได้สนใจเรียนวิชาอื่น
นอกจากเฝ้ารอให้ถึงช่วงฤดูร้อน
เพื่อจะได้ออกไปจับแมลงนานาชนิดมาใส่กล่อง
การเรียนในชั้นประถมวัยของญี่ปุ่น
ชอบยั่วยุให้เด็กออกไปนอกห้อง
เด็กๆ แต่ละคนจะมีสวิงตาข่ายเล็กๆ สีขาว
มุ่งหน้าออกไปสวนละแวกบ้านหรือต่างอำเภอ
เป็นภาพที่คุ้นตาอยู่บ้างในสารคดีหรือการ์ตูน
พวกเขาใส่หมวก หน้าตาเปื้อนดินๆ หน่อย
สนุกกับการจับเต่าทองมาใส่กล่องเรียกว่า
“มอนสเตอร์ พ็อกเก็ต”

ซาโตชิคุง เรียนไม่เก่งแต่เพื่อนๆ เรียกตาคนนี้ว่า Dr.Bug
เพราะมักมีแมลงที่แปลกว่าเด็กคนอื่น
เขาเล่าได้เป็นฉากๆ จำชื่อพวกมันได้แม่น
ครูประจำชั้น ให้นักสำรวจตัวน้อยนำแมลงที่จับได้
มาบันทึกวาดรูประบายสี เขียนชื่อทางวิทยาศาสตร์
เป็นการเรียนเรื่อง “กีฏวิทยา”
ที่โลกของแมลงแบบที่ไม่ใช่ยาขม
ในเรื่อง “จักรยานสีแดง” ที่มอสกับทาทาเคยเล่น
ก็เคยมีอาขยานทำนองนี้
ไดทิสสิด ไดทิสสิด คือ ด้วงดิ่ง
แลมไพริด แลมไพริด แลมไพริด คือ หิ่งห้อย
แมลงตัวนั้น ตัวนี้ มีเยอะมากมาย ดูไปก็รักรักมัน ทุกตัว

หนุ่มน้อยฝันว่าโตขึ้นอยากจะเป็นนักกีฏวิทยา
น่าจะมีแมลงสักชนิดบนโลกที่ยังไม่ถูกค้นพบ
วงการนี้มักจะให้เกียรติ “ตั้งชื่อ” ตามชื่อผู้สำรวจพบ
นั่นเป็นฝันของนักล่าแมลงป่า

แต่ในโลกความเป็นจริง
พอความเจริญถูกขยายมายังชานเมืองโตเกียว
ย่านมะชิดะมีการก่อสร้าง มีเครื่องกลหนัก
แมลงน้อยใหญ่รอบตัวซาโตชิ
ก็อพยพหายวับไป
เหวี่ยงตาข่ายเจอแต่ความว่างเปล่า

ระหว่างที่เศร้า
เรื่องที่มาแทนที่ชีวิตวัยรุ่น
คือ วิดีโอเกมส์
ซาโตชิโดดเรียนไปเล่นจนถูกเชิญผู้ปกครองบ่อยๆ
แต่ความเป็นเลิศก็ส่งให้ลูกชายจากครอบครัวฐานะปานกลางพ่อเป็นเซลล์แมน
ชนะเกมส์คอนเทสต์จาก Sega
เวลานั้น เครื่องเกมส์ตระกูลแฟมิคอม
เริ่มเป็นความบันเทิงใหม่ในญี่ปุ่น
มันมาเปลี่ยนทีวีสีตามบ้านเป็นเครื่องเกมส์
มีจอยสติ๊กไว้กด
ย้ายเกมส์ตู้มาอยู่ในห้องนั่งเล่นทุกบ้าน
ซาโตชิคงลืมเรื่องนักแมลงวิทยาของตัวเองไปแล้วมั้ง
เพราะเขาไม่ได้เลือกเรียนสายวิทย์ เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ออกจากโรงเรียนกลางคันมาทำงานพิเศษตั้งแต่เป็นวัยรุ่น
เรียนเอาวุฒิสายอาชีพที่ Tokyo National College of Technology
ได้รับประกาศนียบัตรด้านคอมพิวเตอร์
ให้พอไปยื่นสมัครงานบริษัทเกมส์ได้

งานแรกตั้งแต่อายุ 17
เป็นงานที่คัลต์มาก
นั่นคือ รับอาสาเป็นบรรณาธิการสมัครเล่น
ทำนิตยสารที่รวมสูตรการเล่นเกมส์เอาไว้แจกจ่ายคนคอเดียวกัน
เรียกว่า “Fanzine” ใช้ชื่อว่า “Game Freak”
ความโหดของแมกกาซีนเล่มนี้ คือ
เขากับเพื่อนวาดภาพในเกมส์ต่างๆ ด้วยมือ
เพราะนั่นมันยุค 1980’s ที่ไม่มีโปรแกรมโฟโต้ช็อป
ซาโตชิ เป็นนักเขียน และ เคน ซูจิโมริ (Ken Sugimori) นักทำภาพประกอบ
ทั้งสองมองหน้ากันว่า
เราบ้าเขียนสูตรเกมส์ มาถึง 5–6 ปีแล้ว
ควรจะเปิดบริษัทออกแบบเกมส์ซะเลย
สถานการณ์ของคนบ้าที่จะทำแต่สิ่งที่ตัวเองรัก
เริ่มลุ่มๆ ดอนๆ ชายหนุ่มอายุ 25 ที่ไม่ได้เป็น Salary Man
เพราะเอาแต่ค้นหาสูตรเกมส์ เคลียร์เกมส์เป็นเกมส์ๆ ไป
ชีวิตจะเกมส์โอเวอร์อยู่แล้ว
เอายังไงดี
?

ในปี 1989 บริษัทยักษ์ใหญ่ Nintendo
ประกาศหาไอเดียพัฒนาเกมส์ใหม่ที่มีมูลค่ามหาศาล
โจทย์งานนี้หินไม่รู้ว่าจะหินยังไง
เพราะนินเทนโด “ต้องการเกมส์ใหม่ที่จะมาโค่นเกมส์ Mario Bros ที่เป็นฮีโร่ของบริษัท”

มีใครทำได้บ้าง ? มามะเราจะพิจารณาพวกคุณเป็นกรณีพิเศษ
ซาโตชิกับคู่หู ซูจิโมริ ไม่มีอะไรจะเสีย
เขาย้อนถึงความสุขในวัยเด็ก
ที่ได้ออกไปจับแมลงมาใส่กล่องสะสม ใช่แล้ว !
เขาไม่ลืมจินตนาการว่า แมลงพวกนั้นมีมาก
อาจจะตัวใหญ่ แปลงร่างได้ นำต่อสู้กันได้
คล้ายๆ จับตัวด้วง 2 ตัวมาสู้กันไง
ภาพสมุดสเก็ตในห้องเรียน…ลอยมา
หน้าสารานุกรมที่เคยเรียนบอกว่า
แค่ในบริเวณสวนหลังบ้าน
มีสิ่งมีชีวิตหลายร้อยสปีชีส์อาศัยอยู่ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
เขาเล่าเรื่องนี้ให้ เคน ซูจิโมริ ฟังคนแรก
เคนสเก็ตภาพเกมส์นี้ชื่อ “Capsule Monster”
เขาหันไปถามเพื่อนว่า แล้วใครจะออกไปเก็บแมลงคนแรกละ
ซาโตจิตอบ “เราเอง” นั่นเป็นที่มาว่า
พระเอกในเกมส์นี้เลยชื่อ “ซาโตชิ”
นั่นก็คือภาพจำลองของวัยเด็กที่ยังแจ่มชัด
ของซาโตชิ-คุง

ผู้บริหารนินเทนโดที่เห็นแววของเกมส์นักสะสมแมลงแปลงร่างต่อสู้
เขาคนนั้นไม่ใช้ใครที่ไหน แต่คือ ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ (Miyamoto Shigeru)
ผู้ที่เคยพับแขนเสื้อสร้างเกมส์ Mario Bros ลุงหนวดโหม่งเห็ดนั่นเอง
ชิเงะรุ รับไอเดีย นี้ไว้ “มาลองดูกัน”
จากเกมส์ชื่อ Capsule Monster ก็ถูกย่นให้เหลือ “Cupumon”
และเปลี่ยนมาใช้เป็น Pocket Monster เพื่อความเข้าใจง่าย
ที่เด็กหลายคนมีประสบการณ์ร่วม
พวกเขาร่วมหัวจมท้ายใช้เวลาทำถึง 6 ปี
แต่กว่าที่เกมส์จะสำเร็จออกมา มีการรีเสิร์จ
ดีไซน์ตัวการ์ตูนมากถึง 400 ชนิด
มากกว่าตัวละครในเกมส์มาริโอรวมกันถึง 5 เท่า
เกมส์จึงใช้งบบานปลาย ลูกน้อง 5 คน ขอลาออก
การเงินของซาโตชิพัง ! ต้องกลับไปขอเงินที่บ้านใช้จ่าย
เป็นเรื่องที่น่าละอายเหลือเกิน
นอกจากจะเจ๊งไม่ได้แล้ว
มันยังถูกออกแบบให้มีหลายภาค ตั้งแต่ยังไม่ได้วางขายสักภาค
ด้านนินเทนโดก็มีสปิริตของบริษัทที่น่าสนใจ
หากจะมีเกมส์ไหนมาล้มมาริโอ
พวกเขาต้องเป็นผู้สร้างเกมส์นั้นด้วยตัวเองเท่านั้น
เพราะมันย่อมดีกว่าให้บริษัทอื่นมาตัดหน้า !
ทำให้เกมส์จากซาโตชิ ภาคเบต้าจึงถูกทดสอบแล้ว
ทดสอบอีก บางรอบมันก็สอบตก
เกือบไม่ได้ออก
และในที่สุด
เกมส์ได้ชื่อยูนีคจาก Pocket Monster มาเป็น “Pokémon”


27 กุมภาพันธ์ ในปี 1996 นินเทนโดเปิดตัว
โปเกมอนภาคแรกในชื่อว่า
“โปเกมอน เรด แอนด์ บูล” อยู่บน Game Boy
เครื่องเกมส์แนวคิดใหม่ที่พกพาไปเล่นนอกบ้านได้
ถอด-เปลี่ยนตลับเกมส์ได้ ล้ำกว่าเกมกดในยุคเดียวกัน
เด็กๆ ญี่ปุ่นนับหมื่นคนเริ่มออกไปขว้างบอลล่าโปเกมอน (บนเกมส์บอย)
อย่างที่รู้กันว่า…แม้จะล้มแชมป์อย่างมาริโอไม่สำเร็จ
แต่โปเกมอนได้ผูกขาดความเป็นที่สองเรื่อยมา
เจ้าพิกะจูตัวสีเหลืองปรากฏอยู่ในทุกสิ่ง พิก่า พิก้า !
“Pika” เป็นเสียงแทนการ “สปาร์คของกระแสไฟฟ้า”
“Chu” เป็นเสียงหนูร้องของหนูญี่ปุ่น
เคยมีนักวิจารณ์ของ The Economist รายงานว่า
โดราเอมอน คือ แมวจากญี่ปุ่นที่คนทั่วโลกรู้จักไปแล้ว
ลำดับต่อไป คือ พิกะจู หนูที่จะไปฮิตในอเมริกาและอีกหลายประเทศตามมา (Pokémon as “Japan’s most successful export)

ไม่นานนักยอดขายเกมส์ทะลุหลัก 200 ล้านตลับ
เกมส์ทำเงินไปราวๆ 207 ล้านเหรียญฯ
นั่นทำให้ซาโตชิ ทะจิริ กับ เคน ซูจิโมริ
ได้ทำงานที่ตัวเองรักต่อมาอีก 26 ปี
เคน ซูจิโมริ เป็นคนวาดคาแรกเตอร์ของมอนสเตอร์ตัวต่างๆ 
จนถึงวันนี้ซาโตชิ คือ เกมดีไซน์เนอร์ ที่ได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 บุคคล
ผู้ทรงอิทธิพลด้านเกมส์ตลอดกาลจาก IGN
ถึงไม่สมหวังได้เป็นนักกีฏวิทยา ผู้ตั้งชื่อแมลงชนิดใหม่
แต่ซาโตซิ ทะจิริ คือ ผู้ริเริ่มออกแบบพันธุกรรม
และตั้งชื่อเหล่าโปเกมอนในสารานุกรม Pokédex
ที่มีนับร้อยๆ ชนิด คงความสลับซับซ้อนละเอียดอ่อนเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์
ทำให้ Niantic มาต่อยอดได้ง่าย
อย่างที่เราเล่นกันอยู่ใน Pokémon Go ทุกวันนี้
ซาโตชิ ยังคงถ่อมตัวโลว์โปร์ไฟล์
เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า
“ผมก็แค่นักสะสมแมลงป่า”

***หมายเหตุในวันที่เขียนบทความชิ้นนี้เกมส์โปเกมอนโก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ $6,000 ล้านเหรียญฯ มีผู้เล่นราว 25 ล้านคนต่อวัน มีค่าเวลาการใช้งานต่อวัน
ชนะ Instrgram

เรื่องโดย มนตรี บุญสัตย์ 
สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : Satoshi Tajiri: Pokemon Creator (Innovators) , Lori Mortensen และ Wikipedia. Satoshi Tajiri

อ่านก่อนไปงานพี่นง ความในใจไม่เหมือนโพสต์ไหนมาก่อน…

ดารารุ่นใหญ่ นง-ทนงศักดิ์ เตรียมจูงมือแฟนสาวอายุห่าง 20 ปี เข้าพิธีวิวาห์…

เป็นพาดหัวข่าวที่ถูกกระหน่ำแชร์มากกว่า 85,000 แชร์โดยสนุกดอทคอม

กลายเป็นปรากฏการณ์ชั่วข้ามคืนครับ

จากคำว่า “ห่าง”

ผมขอนำผู้อ่านและเพื่อนๆ ทุกท่าน

ที่เปิดมาเจอโพสต์นี้เข้าสู่คำว่า “ใกล้”

ใกล้,ทั้งวันงานที่รอพวกเราอยู่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า 9 กรกฎาคม 2559

ใกล้,ทั้งประวัติศาสตร์หน้าใหม่

การแต่งงานในรูปแบบ The Wedding Run งานแรกริเริ่ม

ที่มีนักวิ่งตอบรับร่วมงาน “วิ่งแต่ง” มากกว่า 1,800 ชีวิต ณ สวนหลวง ร.9

เรามา “เข้า-ใกล้” ทั้งความคิด ความรู้สึก ของคู่บ่าวสาว

พี่นง ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ +น้องติ๊ก ชลธิดา ล้ำเลิศยุทธศิลป์

และได้เรียนรู้เรื่องราวพวกเขาแบบเอ็กซ์คูลซีพ Exclusive โดยมี

ผู้ว่าการความใกล้ชิด -พี่ป็อก-อิทธิพล สมุทรทอง (พี่ชอบชื่อนี้ไหม…)

ที่ได้ทำไลฟ์ทอล์คในกลุ่ม 42.195K Club เราจะไปมาราธอนด้วยกัน เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

นับเป็นตอนที่ดูไปยิ้มไปและเหนือสิ่งอื่นใด

มีคำดีๆ ที่พี่นงไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน จนผมไม่แน่ใจว่าบางครั้ง

บางคำต่อไปนี้

อาจจะช่วยไปคลี่คลาย

ดำเนินความรักที่เป็นอยู่ของผู้ชมผู้อ่านบทความนี้

ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต

ลองขยับเขาไปฟังพวกเขากันครับ

หากอ่านและยิ้ม เขินกับบรรทัดไหน นั่นคือ การรับของชำร่วยเล็กๆ จากพวกเขาล่วงหน้าแล้วครับ (ยิ้มกว้าง)

+ชอบวิ่งไหม…? มาคำแรก อย่าไปถาม How are you ไม่ได้เรื่อง (เจอคำตอบว่า ไม่ชอบวิ่งคะพี่ … เจ็บเข่า)

+คนอายุสามสิบกว่าแล้วแต่ยังไปไหนมาไหนกับแม่ พาแม่ไปวัด มันสะท้อนอะไรบางอย่าง อย่างน้อยเราได้เจอคนที่รักครอบครัว

+ เอาเบอร์มาไว้มีงานวิ่งดีๆ เดี๋ยวพี่โทรไปชวน (อั่นแน่)

+ (ฝ่ายติ๊กเมื่อเริ่มแรกคิดกับการเข้ามาในชีวิตของเธอ ) โทรมาขนาดนี้ เอาไว้ดี ปรึกษาพี่ที่ทำงาน หรือคนนี้เขาเอาจริงอะ

+คืนนั้นชวนไปงานเลย…(งานแต่ง ?) เปล่า งานศพ! เดทแรก คือ กินกาแฟที่แล้วไปงานศพที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์

+ ติ๊กหันไปก่อนได้ไหม…อย่าเพิ่งหันมา เดี๋ยว (พี่) เปลี่ยนชุดในรถ (อยู่ในเดทแรก จากไปงานศพแล้วต่องานครบรอบแต่งงานเพื่อน) หัวเราะ

+เราเป็นยังไง เราก็แสดงให้เขาเห็นอย่างนั้นไปเลยดีที่สุด

+การเปลี่ยนเสื้อคือไลฟ์สไตล์ของนักแสดง อยู่ในรถกลางถนน เปลี่ยนชุดได้ ใส่บ๊อกซ์เซอร์ตัวเดียว แต่ในมุมของติ๊กที่อยู่ในเดทแรกกลับคิดว่า …. พี่นงโรคจิตเปล่าว้า (นี่มันเดทแรก…ก็เล่นเราซะล่ะ-ยิ้ม)

+ ผม(ถาม)ยิงเลย ถ้าติ๊กไม่มีแฟน พี่คบติ๊กเป็นแฟนเลยนะ โตๆ กันละ อย่าเสียเวลาเลย

+ ในความรู้สึกของเรา มันผ่านอายุมาขนาดนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่เสียฟอร์ม ถ้าเราจะชอบหรือรักใครสักคน เราพูดความรู้สึกของเราไปตรงๆ ผมชอบคุณ ถ้าเกิดคุณไม่ชอบไม่เป็นไร เพราะเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะไม่ชอบ ขอให้คุณรู้ว่า “กลับไปบ้านหวั่นไหวหรือเปล่า” ผมพูดตรงๆ แบบนี้

+สำหรับบางคน เหมือนอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้บอกรักเค้าเลย คบกันมาตั้งนานแต่ไม่ได้บอก เค้าจะไปชอบคนอื่นหรือเปล่า พูดกับเค้าไปเลยตรงๆ (รุ่นใหญ่-ต้องใจนิ่ง) เหมือนบางคนคุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น ลงมือไปก่อนแล้วค่อยไปเรียนรู้กับมัน

+ (อีกฝ่าย) กลับไปคิด อีกสัปดาห์ อีกเดือนก็ค่อยมาบอกก็ได้ แต่เสียงผมได้ก้องอยู่ในหูคุณตลอด ผมชอบคุณนะ ผมรักคุณนะ

+ ไม่ว่าป๊ากับแม่ (ติ๊ก) จะคิดยังไงก็แล้วแต่ ผมเต็มที่ ผมรักติ๊กจริงๆ ครับ ผมพยายามทำดีที่สุด ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมอายุขนาดนี้แล้ว สิ่งที่ผมพูด ถ้าไม่มั่นใจผมไม่พูด

+ ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคนนะ ความรักไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว

+ เพราะถ้าเมื่อไหร่ความรักเป็นเรื่องของคนคนเดียว อีกคนจะเป็นตัวใหญ่ อีกคนจะตัวเล็ก แต่ถ้า….เราเทคความรักเป็นเรื่องของคนสองคนเราจะตัวเท่ากัน

+ พอตัวเราเท่ากันลองคิดถึงรูปหัวใจ หัวใจที่จะเป็นแบบนี้ (ทำท่าประกอบ สองมือประกบกัน) ถ้าคนเดียว (ทำมือข้างเดียว) หัวใจจะไม่เต็มใจ หัวใจต้องเป็นแบบนี้ถึงเรียกว่า ‘รวมใจ'

+ ความรักยังเป็นเรื่องของคนสองคน แต่การแต่งงานเป็นเรื่องของคนหลายคน ถ้าเราจะไม่แต่งงานเราก็รักกันสองคนก็…โอเค

+ เรารักเขา เขาจะตัวใหญ่ พอเค้ารักเรากลับมาเราก็ตัวใหญ่ ต่างคนต่างตัวใหญ่

“เวลารักเราใครสักคนหลับตาเราก็เห็นเค้า”

+(วางแผนมีลูกหรือไม่) ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกเรา ที่ติ๊กบอกรักเด็ก ผมก็จะพยายามทำตัวเป็นเด็ก (สองคนยื่นมือมาจับกัน)

+ (กับการจัดงาน) หลายคนยื่นมือเข้ามาช่วย เป็นความประทับใจจริงๆ เลย สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่คาดว่าจะเจอ ยิ่งทำให้ประทับใจมากขึ้น หลายคนยินดีที่จะมาช่วยงานนี้ด้วยความตั้งใจจริงจากเพื่อนๆ หลากหลายกลุ่ม (เพราะพี่นงช่วยเหลือคนอื่นไว้ก่อน) ไม่เลย เพราะนี้เป็นความสุขของเรา ขอบคุณที่ให้เกียรติเรา

+ ทุกภาพที่เกิดขึ้น ณ วันงาน หรือตลอดเวลาที่เราทำงานนี้มาอยู่ในความทรงจำผม เหมือนกับที่ผมเคยได้อยู่บรรยากาศงานของทุกคน

+ในงานนี้เป้าหมายที่ผมอยากทำให้ทุกคน ไม่ใช่แค่อยากให้มีความสุข ผมอยากให้มีความประทับใจเพื่อจะได้จดจำมัน แน่นอนว่าต้องมีข้อบกพร่อง ผิดพลาดบ้าง ยังไงก็ต้อง (ยกมือไหว้) กราบขออภัยจริงๆ เลย แต่บางอย่างเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม มันไม่ใช้ข้ออ้างใดๆ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมพอจะทำได้ (แก้ตัวใหม่ในงานแต่งครั้งหน้าได้ครับพี่นง — พี่ป็อกแหย่ แฮร่ๆ เอ๊ยไม่ช่าย)




เรียบเรียงโดย
บุ๊ย-มนตรี บุญสัตย์

บนถนนทอดยาวสายมาราธอนย่อมมีสุขทุกข์ที่พี่ตูนพบพาน…

วันนี้เพลงของ(พี่)ตูน บอดี้สแลมได้สถิตอยู่ในความคิดและฝีก้าวของนักวิ่งไทย เชื่อว่าเราต่างมีบทเพลงของเขาขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าอย่างฮึกเหิมและปลุกปลอบในขณะเดียวกันร็อกสตาร์หนุ่มได้เลือก ‘วิถีชีวิต’ เป็นนักวิ่งรับความบันเทิงทรมานแบบที่ใครสักคนชอบพูด

จากคนไม่เคยวิ่ง สู่การวิ่ง 10 กิโลเมตรแรกด้วยเวลา 70 กว่านาที แต่ทุกวันนี้ระยะเดิมเวลาลดลงมาเหลือ 40 นาทีต้นๆ เห็นได้ชัดว่ากว่า 30 นาทีที่หายไปนั้นแลกมาด้วยความมุ่งมั่นต่อเนื่องยาวนานกว่า 4 ปีเต็ม…! เขาเป็นแบบอย่างที่สวยงาม

ค่ำวันจันทร์ 4 กรกฎาคมที่ตึกแกรมมี่ กลุ่ม “42.195K Club เราจะไปมาราธอนด้วยกัน” นำโดยพี่ป็อก (อิทธิพล สมุทรทอง) หมอเมย์ (พ.ญ.สมิตดา สังขะโพธิ์) ได้จัดทำ
เฟซบุ๊คไลฟ์ ถ่ายทอดสดสัมภาษณ์ตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย นับเป็นครั้งแรกที่พี่ตูนพูดถึงเรื่อง “ชีวิตการวิ่ง”

เนื้อหายาวร่วมชั่วโมง เพื่อนๆ ในกลุ่มนับพันคนตามไลฟ์และตามไลค์ส่งรอยยิ้มและหัวใจเหมือนฝูงนกบินกลับบ้านยามเย็น

ทว่าผมมา, ‘สะดุด’ ที่ช่วงท้ายมีคำเชิญจากพี่ป็อกว่าให้เพื่อนๆ ทางบ้านลองโฟกัสคำพูดดีๆ ของพี่ตูนครั้งนี้เอาไว้เพื่อส่งต่อเป็นแรงบันดาลใจกัน

“บุ๊ยเห็นด้วยทุกประการครับพี่ป็อก”

เพราะเฟซบุ๊คไลฟ์มีข้อดีที่เป็นปัจจุบันทันด่วน แต่เมื่อไลฟ์แล้วก็ไหลเวียนไป เนื้อหาที่ดีน่า Write เก็บไว้อ่านกัน เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะได้ผ่านความคิด มีประมวล กลั่นกลองจากมือและหัวใจ เพื่อนำมาอ่านซ้ำได้ ข้อเขียนเป็นสิ่งย้ำเตือน กำกับเราและความมุ่งมั่นต่อเรื่องนั้นๆ ได้ดี ไม่เลื่อนไหลไปตามสปีดของเทคโนโลยี

เพราะเชื่อว่า…บางช่วงเวลาของการดำรงอยู่มีทั้งร้ายหรือดี บางครั้ง “ข้อความ” และ “เกร็ดคำพูด” ของใครบางคน มีส่วนอย่างมากที่จะจุดประกายทำหน้าที่ Save my life ฉายภาพวันต่อมาให้มีแสงสว่างส่องหรืออาบอุ่นลงในจิตใจ เป็นได้แม้กระทั่งม่านตาใหม่ๆ ให้มองเห็นและหรือลุกขึ้นมาทำตาม

ขออนุญาตเรียกว่า “เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง” ที่ผ่านการพูดคุยของ
พี่ป็อก-พี่หมอเมย์ ทั้ง 3 ท่านที่อยู่ตรงหน้า เคยทำสิ่งดีๆ ให้กับผมและคนอื่นๆ มามากจะด้วยน้ำใจของพี่ป็อก ความรู้ในคลิปวิดีโอของพี่หมอเมย์ อัธยาศัยดีๆของพี่ตูนในสนามวิ่ง ที่ผมพอจะตอบแทนมากกว่าแค่การ Like และ Share คือ นั่งลงแล้วเขียนบันทึกเรื่องพวกเขาไว้ ทำหน้าที่ “รับมา” และ “ส่งต่อ”

4 ปีในชีวิตการวิ่งของใครคนหนึ่งนั้นยาวนานพอๆ การเรียนรู้ในรั้วมหาวิทยาลัยมันย่อมมีอะไรที่มา “เปลี่ยนผ่าน” ในฤดูกาลนั้น หากถ่ายทอดออกมา ย่อมมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆ นักวิ่งรุ่นน้อง รุ่นพี่ โดยเฉพาะกับนักวิ่งที่ตัดเกรดออกมาแล้วผลการเรียนโดดเด่น มีความขยันตั้งใจสูง ทำงานไปด้วย วิ่งไปด้วย เกื้อหนุนกันทั้งสองทาง หลายคนเคยสอบ (วิ่ง) ห้องเดียว สนามเดียวกับพี่ตูนย่อมเห็นถึงพลังงานดีๆ และต่อไปนี้ คือ ชีวิตและการวิ่งของเขา ข้อเขียนนี้ขอร่วมเป็น Artiwara Running Diary อีกหน้าหนึ่งนะครับพี่ตูน

เทปเดิน…

+ ส่วนใหญ่ผมจะซ้อมวิ่งที่ตึกแกรมมี่ (วิ่งลู่) และซ้อมที่บ้าน ผมชอบซ้อมวิ่งบนลู่วิ่ง เพราะวิ่งลู่จะช่วยให้เราบังคับตัวเองไปตามรอบขาอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าวิ่งเอง (ข้างนอก)เราจะชะลอไปเองโดยที่ไม่รู้ตัว

+จะซ้อมวิ่ง 5 ถึง 12 กิโล พยายามให้ได้สัปดาห์ละ 3 วัน

+คอนเสิร์ตสัปดาห์ละ 2–3 วัน ผมจะนำกิจกรรมมากองรวมกันไว้ในวันเดียว เรียกว่าเป็นไตรกีฬาของวันนั้นไปเลย

+ช่วงหลังๆ คอนเสิร์จจะโชว์ยาว 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง เป็นว่าทั้ง 90 นาที ถึง 120 นาที ที่เรามูพและร้องตลอด เหมือนเตะฟุตบอลต่อเวลาด้วยซ้ำ ถ้าอีกวันเราตั้งใจจะซ้อมอะไร มักไม่ได้ซ้อมตามที่ตั้งใจ

+ช่วงหลังผมวางแผนออกกำลังกายก่อนขึ้นเล่นคอนเสิร์ต การวิ่ง คือ การวอร์มก่อนขึ้นคอนเสิร์ต

+วิ่ง 10 กิโลพอจะไปทำอย่างอื่นต่อได้ มันสดชื่นด้วยซ้ำ

+ No No (ส่ายหน้า จากคำถามว่าพี่ตูนไม่เคยซ้อมวิ่งถึง 20–25 กิโล) ไม่เคยเลยครับ ผมเป็นนักวิ่งที่ผิดนะ เป็นนักวิ่งลูกทุ่งมาก ถ้าตามหลักมีโค๊ชมาสักคนเขาต้องว่าผมแน่นอน

+ ผมเอาตามสะดวกไม่ได้เก่งอะไรนะครับ สิ่งที่เราทำในการออกกำลังกาย ได้ช่วยในหน้าที่การงานเรา เพราะเราร้องเพลงเองไม่ได้ลิปซิ้ง เราร้องเต็มๆ ต้องมูพไปทั่วเวที

+วันไหนเวทีใหญ่หน่อยต้องมีแรงเยอะหน่อย การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของงานเราด้วยเลยมีแรงบันดาลใจที่จะออกกำลังกายเพื่อจะทำให้เราร้องเพลงดีขึ้น เฟอร์ฟอร์มดีขึ้นบนเวที

+ คนสงสัยว่าทำไมมีคอนเสิร์ต เอาเวลาที่ไหนไปซ้อม ตารางโชว์มันก็แน่น แต่ผมบอกได้เลยว่าทุกคนมีเวลา

+ (การซ้อม) มีช่วงที่บ่อย กับ ช่วงที่ไม่บ่อย ช่วงป่วย ขี้เกียจก็มีนะ (ยิ้ม) ไม่ได้มีวินัยอะไรขนาดนั้น ถ้าซ้อมเยอะเดือนหนึ่งก็วิ่งเป็นร้อยกิโล นาฬิกาจะบันทึกไว้ว่าเดือนนี้วิ่งกี่กิโล

+ Trail เคยไปครั้งหนึ่งที่งานนอร์ทเฟส (TNF) ลงแค่ 10 กิโล รู้เลยว่าไม่เหมาะ ผมมีปัญหาที่เข่า วิ่งเทรลใช้เข่าเยอะทั้งตอนสปริงขึ้น และตอนโดดลง

+ผมเป็นคนบ้า (กับคำถามเรื่องความจริงจังทั้งการเล่นคอนเสิร์ตและลงงานวิ่งที่งานโชว์จบเที่ยงคืนต่องานวิ่งหัวรุ่ง) ชอบเหนื่อยไม่ชอบอยู่เฉยๆ สุดท้ายด้วยควรไม่ตั้งใจ รายการคอนเสิร์ตอยู่คืนวันเสาร์ รายการวิ่งอยู่เช้าวันอาทิตย์ ถ้าเลือกได้อยากให้อยู่คนละวัน แต่มันก็ต้องอย่างนี้…

+ ผมจำได้ว่ามาราธอนแรกที่กรุงเทพมาราธอน (พี่ตูนเข้า 5 ชม. 48 นาที) ผมร้องเพลงอัดเสียงอยู่ที่ตึกแกรมมี่ เพลงที่อัดคืนนั้น คือ ดัม-มะ-ชาติ เป็นเพลงเร็วที่ใช้แรงเยอะ …ถอดหูฟังตอนเที่ยงคืน เสร็จแล้ว ดูนาฬิกาว่าอีก 2 ชั่วโมงจะต้องไปวิ่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิต

+ในใจตอนนั้นเอาไงดีวะ เอาไงดีวะ จะไปดีหรือเปล่า จะตายไหมวะ. นอนก็ไม่ได้นอน ช่วงนั้นทำอัลบั้ม อัดเสียง งานเข้มข้นมาก แต่ว่าผมตั้งโกล์ดไว้ปีก่อน จบฮาล์ฟครั้งแรกที่กรุงเทพมาราธอน ผมตั้งเป้าว่าปีหน้าจะมาลงมาราธอนแรกที่นี่ เราได้ตั้งปณิธานเอาไว้แล้ว ปีหน้ามาราธอนเจอกัน

+แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่อย่างเหนื่อย แต่เราตั้งใจไว้แล้ว ด้วยความตั้งใจนี้ทำให้เราตัดสินใจว่า ไป ! (พยักหน้า)

+ ลองดู เดินก็ช่างมัน หรือว่าอะไรก็ช่างมัน ไปดีกว่า สมัครแล้ว เรารู้สึกว่าไม่อยากเป็นคนแบบนั้น… วันนั้นผมออกไป วางหูฟังเสร็จ เปลี่ยนชุดที่ห้องน้ำบนตึกแกรมมี่ เป็นชุดนักวิ่งไปถึงสนามตี 1 ที่สนามหลวง งัวเงียมาก ยืดเส้นยืดสาย มีเทรนเนอร์ไปด้วย

+ งานวิ่งที่ไป จะไปแบบปัจจุบันทันด่วน อาทิตย์นี้ว่าง อยากไปวิ่ง เอ้าเสิร์จ! เจอรายการนี้ดีไปเลย ตอนนี้งาน 10 กิโลเมตรไม่ค่อยไปเพราะว่าเราซ้อมเองได้ ตอนนี้ถ้าไป คือ ฮาล์ฟ 21 กิโลเมตร หรีอว่าเทนไมล์ 16 กิโลเมตร

+ (เสียค่าบัตรคอนเสิร์ตไปดูบอดี้สแลม ยังไม่ได้ใกล้ชิดพี่ตูนเท่ากับเจอตามงานวิ่ง) กิโลท้ายของมาราธอน เราจะวิ่งช้าลงแล้วเซลฟี่มือไม่สั่น หรือว่าเดินคู่กันได้ (ยิ้ม)

+ วิ่งต่างประเทศ แค่อยากไปลอง แต่ไม่เคยคิดว่าจะต้องรอสมัครที่โน่น ที่นี่ เราอยากไปในเมืองไทยก่อน เชียงใหม่ ภูเก็ต จอมบึง ไปแล้ว อยากไปอีสานบ้าง ขอนแก่น สุโขทัย อยากไปในเมืองไทยก่อน แต่อุปสรรคอย่างที่บอก วันเสาร์ผมจะมีคอนเสิร์ตแล้วจะเดินทางไปไม่ทัน

+ จริง…ผมคิดว่ามันก็หนักเกินไป (คืนวันเสาร์เล่นคอนเสิร์ต) แต่พอไปลงงานวิ่งเอาเท่าที่ไหว ไม่ได้ Push ในสนามผมมีเดิน เราไม่ได้กัดฟันแบบวิ่งเอาเวลา เราก็กลัวตายเหมือนกัน เวลาขี้เกียจผมก็แค่หยุดทำ แต่คนไม่เห็นเท่านั้นเอง เวลาขี้เกียจผมชอบกิน ผมเป็นคนกินเยอะมาก แต่ว่าได้เท่านี้ เพราะว่าวิ่งไง คนที่วิ่งจะรู้

+น้ำหนัก 57–58 สูง 173–174 กางเกงเอว 28

+พออยู่กับเพลงจะทำให้เราวิ่งเพลินขึ้น แต่ไม่ได้ฟังเพลงตัวเองตอนวิ่ง

+ 2 ปีแล้ววิ่งกับพี่เตย ที่ลากูน่า ภูเก็ตมาราธอน พี่เตยนี้เค้าน่ารักมากนะ ปีที่แล้วผมเดิน เขาวิ่งทำเวลาได้ดีมาก แต่เขาเห็นเราเจ็บเท่านั้นแหละ เขาหยุดมาช่วย เห็นเราไม่มีเพื่อน ขอบคุณพี่เตยนะครับ

+ ตอนนั้นชีวิตเหมือนเราเล่นกีฬาหนักๆ ผมจะเตะฟุตบอลอย่างเดียว เตะบอล ปะทะ จนเอ็นฉีก เข้าเฝือก ชอบเตะบอล บ้ามาก จนสุดท้ายมีอาการของหมอนรองกระดูกเลื่อน คุณหมอ (หมอเมย์-สมิตดา) ก็ห้ามเล่นกีฬาที่ปะทะ รวมถึงการเล่นคอนเสิร์ตในท่วงท่าที่เราชอบหักคอ (ทำท่ากระดกข้อมือขึ้นลง)

+ ผมกระโดดข้ามกลองได้ กระโดดจากข้างบนสูงๆ ลงมา แต่หลังจากมีอาการนี้ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ต้องเล่นกีฬาแบบหนึ่งที่กระแทกน้อย ไม่ปะทะ เล่นคอนเสิร์ตด้วยท่วงท่าที่เคลื่อนไหวคอไม่รุนแรง หมอจะให้คำศัพท์ว่า “โยกทั้งยูนิต”

+ ผมชอบออกกำลัง ไม่ออกกำลังไม่ได้ เตะบอล โหม่งบอล ไม่ได้ ก่อนมาวิ่งกลับไปตีปิงปองก่อน ตอนเด็กๆ ที่สุพรรณบุรีเป็นนักกีฬาปิงปอง ช่วงเวลาเดียวกันเริ่มซ้อมวิ่ง ตอนนั้นมีหนังเรื่องรัก 7 ปี ดี 7 หน เขาจะมีอีเวนท์ (งานวิ่งสู่ชีวิตใหม่ครั้งแรกของสสส.ลานพระรูปทรงม้า) พี่เต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) เป็นคนลากผมไป

+ ตูนไปวิ่งกันไหมสนุกๆ ผมลองดู ไม่ได้ซ้อม จำได้ตอนนั้น 10 กิโลเมตร ทำได้ 1 ชั่วโมง 15 เออสนุกดีหวะ ถึงแม้ตอนวิ่งจะมีเดินบ้าง แต่พอจบ เดี๋ยวรายการต่อไปไปที่ไหนดี ปรากฎว่ารายการต่อไปเป็นกรุงเทพมาราธอนเลย จะลง 10 หรือว่า 21 ดี ห่างกันราวๆ 2 เดือน

+ จำได้ 21…ตระคริวกิน ไม่ได้ซ้อม พอลงสนามแล้ว ถึงรู้ว่าวิ่งต้องซ้อม ก็เลยเป็นที่มาว่าจากฮาล์ฟแรก เราต้องซ้อม

+วิ่ง 21 ไปประมาณ 2–3 ครั้งก็ลงมาราธอน แต่มันลูกทุ่งไปหน่อย เราไม่ได้มีความรู้เรื่องมาก ลุย ดุ่ย ดุ่ย ไป

+ (ตอนวิ่งพี่ตูนคิดอะไร) จริงๆ ก็เป็นเหมือนหลายๆ คนนะ…. คำว่า เหนื่อย คิดว่า วิ่งเร็วไปแล้ว ช้าไปแล้ว

+ อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบวิ่ง เพราะผมชอบเจอคน ที่วิ่งด้วยกัน ชอบคุยกับเขา ผมว่าเป็นเสน่ห์ของการวิ่งมาราธอน การวิ่งระยะไกล ผมชอบมากเลย….เวลาวิ่งไปเจอพี่ป๊อกกลางทาง เจอใครหลายๆ คน อย่างเราเจ็บแล้วเขาพร้อมช่วยเหลือ ผมประทับใจครั้งหนึ่งที่ภูเก็ต รายการนั้นเป็นไตรกีฬา ผมวิ่งแล้วตระคริวขึ้น แล้วพี่ที่อยู่ข้างหน้า แทนที่เขาจะทำเวลาของเขา เขาหยุดแล้วหันมาช่วย เขามีสเปรย์ในมือ ฉีดให้ผม (ขนลุกทำท่าประกอบ)

+ ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การแข่งขัน เราหลงรักไปเลยกับบรรยากาศนี้ ทุกๆ อย่างที่เราได้เจอในระหว่างทางวิ่ง

+ ไม่รู้จัก ได้รู้จักกัน จนได้เป็นเพื่อนกัน เอ้าพี่มาอีกแล้วหรา … เดี๋ยวเจอกันนะครับ ที่งานโน่น งานนี้ มันสนุกมาก

+ ผมว่าเกือบร้อยเปอร์เซ้นต์ของคนที่ออกมาวิ่งตอนเช้าๆ รายการวิ่งไกลๆ มีทัศนคติที่ดี เป็นคนคิดบวก เป็นคนอารมณ์ดี อะไรแบบนี้ผมชอบมาก (ยิ้ม)

+ เคยบาดเจ็บตอนมาราธอนแรกหรือฮาล์ฟมาราธอนแรก ตระคริวขึ้นทั้งสองข้าง กว่าจะหายบางที 1–2 อาทิตย์แต่มันบอกเราว่าต้องซ้อมมากขึ้นเพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้พร้อมมากขึ้น ช่วงหลังจะไม่เจ็บแล้ว

+ผมทำเวทเทรนนิ่ง ท่านอนคว่ำแล้วยกขาขึ้น ที่เราไม่เคยใส่ใจกับมัน กล้ามเนื้อ Hamstring ผมจะอ่อนแรงมาก ตอนนี้กล้ามเนื้อส่วนนี้เริ่มดีขึ้น

​+ (คนนินทา) ผมไม่แคร์เลย ผมเฉยๆ ผมคิดว่าตัวตนเรามันก็มีล้านตัวตน คนมองเราล้านคนก็คิดกับเราล้านแบบ คิดกันไปตามอัธยาศัย

+ สมมุติเราไปแคร์เขาหมดเลย เราจะไม่เป็นตัวของตัวเอง เรารู้ว่า เราทำอะไร ไม่ทำอะไร แค่นั้นเอง ถามว่าเรารู้สึกดีหรือไม่ดีที่คนเค้านินทา ทุกคนย่อมรู้สึกไม่ดีอยู่แล้วใช่ไหม แต่ถามว่าเราต่างหากที่รู้ตัวเราเอง เราไม่เป็นอย่างที่เขาว่า… นิ เราจะไปเดือดร้อนทำไม…ก็แค่นั้น ทำกิจวัตรของเราไป

+ คนที่ไม่รู้จักเรา เราเป็นแค่เรื่องราวระหว่างโต๊ะกินข้าวของเขาเท่านั้นเอง

+ ที่มาวิ่งตรงนี้ ผมไม่ได้อยากพิสูจน์นะครับ ไม่อยากบอกใครว่าเราเก่ง หรือว่าลบคำสบประมาทที่เขาว่าเรา แต่ที่เราทำ เราเริ่มจากความสุขเราเป็นตัวตั้ง

+ เราไม่ได้มีแรงบันดาลจากการออกไปเพื่อจะเอาชนะใคร คำพูดใคร เราออกไปเพื่อที่เราสนุกกับตัวเอง สนุกกับชีวิตของเรามากกว่า ถ้าเราออกไปเพื่อจะไปลบคำสบประมาทคนนั้น-คนนี้ เราจะต้องยังไง…. มันไม่สนุกเลย ไม่สนุกเลยครับ(เน้นเสียง) มั นมาบันดาลใจเราในด้านไม่ดี เราจะอยู่กับมันได้ไม่นาน

+ ผมก็แค่ทำในสิ่งที่เราสนุก ถ้าขี้เกียจก็ไม่ไป ไม่จำเป็น เราไม่ได้รับงานวิ่งนิ เราไม่ได้มีอาชีพตรงนี้ เราออกไปเพราะเราสนุก ถ้าไม่สนุกก็…ไม่ แค่นั้นเลยครับ

+ ขณะวิ่ง ผมได้ยินหลายๆ คนฟังเพลง “ความเชื่อ” “ชีวิตเป็นของเรา” “อกหัก” หรือ “แสงสุดท้าย” มันฮึก ลุยดี แต่สำหรับผมเลือกแตกต่างหน่อยคิดว่าเพลง “ชีวิตยังคงสวยงาม” ถึงจะเป็นเพลงช้า แต่ว่าเนื้อเพลงเข้ากับการวิ่งมาราธอน การวิ่งมาราธอนไม่ได้มีแต่เรื่องแฮปปี้อย่างเดียว ระหว่างทางมีเรื่องของการฟันฝ่าชนะตัวเอง

+ มันจะภาพว่าบางวันเราก็วิ่งไม่จบ เจ็บแล้วถอนตัว บางวันเลือกออกมาแล้ว ได้ชนะตัวเอง “ชีวิตคงยังสวยงาม”น่าจะบรรยายการออกมาวิ่งระยะมาราธอนได้ดีที่สุด

+ถ้าเป็นมาราธอนชอบสนามที่จอมบึง ราชบุรี ชอบเพราะทุกอย่างเป็นใจ อากาศ ผู้คน ทางไม่ชัน กองเชียร์ เด็กๆ มาเต้น

+พี่ๆ ชาวบ้านข้างทางมาให้น้ำ อยู่นอกบูทจุดให้น้ำ แต่เป็นของเขามาตั้งเอง มีพระรดน้ำมนต์ เป็นสีสันมาก ตอนยูเทิร์นกลับตัว 21กิโล แล้วมีพระพรมน้ำมนต์ ได้แรงใจ ชอบจอมบึง วิ่งสนุก

+ อีกสนามที่ชอบ คือ ภูเก็ต อยู่ตรงข้าม โหด ร้อน คนจะเชียร์เหมือนกัน ตัวสนามจะแตกต่างจากจอมบึง มีเนินยาวไปเรื่อยๆ ตอน 21 กิโลเมตรแรกทำเวลาดี 2 ชั่วโมงนิดๆ แต่หลังจากนั้น … (หัวเราะ)

+(เซลฟี่กับพี่ตูน) ผมรู้สึกว่าไม่ได้ฝืนอะไร ถ้ามีเวลาอยากถ่ายรูป อยากให้ลายเซ้นต์กับเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ของเราที่ไม่ต้องลงทุนอะไร สุดท้ายเขาเจอเรา ชอบผลงานเรา ได้ถ่ายรูปกับเราแล้วทำให้เขามีความสุขได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีด้วยซ้ำ ทำได้ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าบางวันปวดห้องน้ำมาก ก็มีเหมือนกัน ผมก็พูดตรงๆ “เดี๋ยวขอเข้าห้องน้ำหน่อย” (ยิ้ม)

+ ขอถ่ายรูปตอนวิ่ง บางทีก็ดีครับ วิ่งมาเหนื่อยๆ ได้หยุด (ยิ้ม)

+มาราธอนไม่ได้เปลี่ยนชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มาราธอนมาเป็นข้อที่มาเพิ่มเติม เมื่อก่อนจะเล่นกีฬาแบบแข่งขันนับแต้ม นับคะแนน ฟุตบอล ปิงปอง แบดมินตัน เราชอบที่มีคู่แข่ง มันสนุก มันท้าทาย ผู้ชายจะชอบ ถ้าไม่เกิดปัญหาเรื่องหมอนรองกระดูกเลื่อน ต้องเปลี่ยนกีฬา ผมอาจจะไม่มาเจอการวิ่งก็ได้

+ แต่พอมาเจอการวิ่ง การวิ่งมีเสน่ห์ที่เราจับต้องได้ เราสามารถแข่งขันกับมันได้ แต่เปลี่ยนมาแข่งกับตัวเอง มีนาฬิกาสักเรือนที่เราจับเวลาได้ เราเอาชนะเวลาที่เคยผ่านมาได้ การวิ่งทำให้เราได้แข่งกับตัวเอง รู้จักตัวเอง ได้สังเกตตัวเอง (พูดซ้ำและเน้นเสียง) เราได้ถาม ได้ลองใจตัวเอง อย่างกีฬาอื่น มันลองตัวเองกับคนอื่น ด้วยการนับแต้ม

+ แต่การวิ่งเราได้สังเกตตัวเอง ข้อเท้าเรา เข่าเรา หัวใจเรา แรงเรา มันคือการสังเกตตัวเองหมดเลย

+ ทุกระยะผมชอบหมด ผมสังเกตมา 2–3 ครั้งละ มาราธอนจะเหนื่อยว่าไตรกีฬา 
ฟูลมาราธอนจะใช้แค่กล้ามเนื้อส่วนเดียว ไตรกีฬาได้เปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อยๆ สำหรับผม มาราธอนจะโหดกว่า

+ ผมซ้อมว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำเกษตรตอนเที่ยง แดดแรงๆ คนน้อยดี

+ ท่านอนหลับในมาราธอน ผมแค่จะล้อเลียนว่าทำไมมาราธอนต้องออกสตาร์ทตอนตี 4 มันง่วง วงโคจรชีวิตเรา คือ ตี 4 ไม่ได้นอน หรือแม้กระทั่งตี 2 ที่กรุงเทพมาราธอนปล่อยตัว เลยทำท่านี้ (ทำท่าประกอบสองมือมาแนบคอ หลับตา) ง่วงจัง Z z Z Z

+ เป้าหมายการวิ่งของปีนี้ 10 กิโลลบนลู่วิ่งตัวเอง อยากให้มีเลข 3 นำ ตอนนี้เลข 4 ได้แล้ว ปีโน่นจำได้ว่าเลข 5 (พี่ตูนหมายถึง วิ่ง 10 กิโลเมตรต่ำว่า 40 นาที ) 10 กิโลเมตรอยากให้เห็นเลข 3 ก่อนสิ้นปีนี้นะครับ 39.59 ก็ได้ครับ (ยิ้ม) ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่จะลองดู

+ผมจะตั้งเป้ากับระยะ10 กิโลมันกำลังสนุก ท้าทายตัวเอง แล้วเราทำมันได้บ่อยๆ

+ วิ่ง 21 กิโลเมตร เราได้ประโยชน์จากการซ้อม 10 กิโล เมื่อวิ่ง 21 จะเร็วขึ้น แต่ 42 กิโล เหมือนเราออกไปเที่ยว

+ระยะ 10 กิโลเมตรเราโฟกัสมันได้จริงจังได้ จะทำ 21 ได้ดีตามมาเป็นอานิสงฆ์ แต่ 42 ซ้อมยังไงผมยังไม่รู้เลยเหมือนเราออกไปเที่ยวมากกว่า แต่ก็อยากทำให้…ดีขึ้นทุกวัน

+ การวิ่งกับเล่นคอนเสิร์ต สิ่งที่ได้คล้ายคลึงกันเหมือนเราได้บรรลุอะไรบางอย่าง ดีใจที่ได้มารู้จักวิ่ง ดีใจที่ได้ลองวิ่งในทุกๆ ระยะ 10 16 21 42 ฟูลมาราธอน ดีใจที่ได้รู้จักเพื่อนๆ ระหว่างทาง เจอทุกๆ คน ทุกๆ รายการ ผมอาจจะจำชื่อไม่ได้แต่ผมจำหน้าได้หมด พี่ๆ ทุกคนที่คุยกัน เอ้า…พี่มาอีกแล้ว เราจะจำกันได้

+ ขอบคุณและหวังว่าจะได้เจอกันที่รายการวิ่งหรือไตรกีฬาไม่ว่าจะรายการไหนก็แล้วแต่ อวยพรให้ทุกคนมีความสุขกับการวิ่ง ของตัวเอง สถิติของตัวเอง ดีขึ้นเรื่อยๆ มีกำลังที่ดีในการวิ่ง

+ชวนคนรอบข้างมาวิ่งด้วยกัน จะเพิ่มความสุขไปอีกมากๆ ให้คนรอบข้างรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข คือ อะไร ให้เขาได้สัมผัส ไม่มากก็น้อยที่เขาจะชอบมัน

+ขอให้มีความสุขกับการวิ่งครับ

ไม่ว่าจะร้ายดีชีวิตการวิ่งยังคงสวยงาม

> ขอขอบคุณที่อ่านจบและช่วยแชร์บทความนี้ไปสู่คนรอบข้างนะครับ<

หมายเหตุ

ได้แรงบันดาลใจมาจากเกร็ดความคิดบนก้าววิ่งของฮารูกิ มุราคามิ สำนวนแปล นพดล เวชสวัสดิ์ สนพ.กำมะหยี่ภาพประกอบมาจาก @Artiwara ภายใต้ #ArtiwaraRunningDiary (2012–2016) ปัจจุบันมี 160 และเพิ่มขึ้นทุกวันท้ายนี้ขอขอบคุณพี่ตูน ขอบคุณพี่ป็อก ขอบคุณพี่หมอเมย์ ขอบคุณกลุ่ม 42.195K Club เราจะไปมาราธอนด้วยกัน ทุกๆ คนต่างเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการวิ่งของกันและกัน.

#

รอชมมาทั้งปีในที่สุดมาถึงโค้งสุดท้ายของซีซั่น 6 แล้ว…

แฟนนิยายมหากาพย์ “Song of Ice and Fire” คงทราบดีว่าคุณลุงจอร์จวางโครงการที่จะเขียนนิยายชุดนี้ออกมาทั้งหมด 7 เล่ม โดยเล่มที่ 5 “A Dance with Dragons” ตีพิมพ์ออกมาแล้วในปี 2011 ยังขาดอีก 2 เล่ม คือ “The Winds of Winter” เล่ม 6 และ “A Dream of Spring” เล่ม 7 ที่ตามกำหนดเดิมน่าจะวางห่างกันทุก 3 ปี ตามลำดับในปี 2014 , 2017

แต่ทีไหนได้,

ในปี 2011 ที่ GOT ภาคแรกถูกสร้างและฉายเป็นซีรีย์ครั้งแรก ความโด่งดัง เมานม ของซีรีย์เรื่องนี้ ไปกระทบกับรูนทีนการเขียนหนังสือของคุณลุงวัย 60 เศษๆ เข้าอย่างจัง ทำให้กำหนดการนิยายทุกเล่มถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ย้ำว่าอย่างไม่มีกำหนด !

แม้แต่เจ้าตัวเวลาเจอคำถามนี้ก็ได้แต่ทำหน้าอมยิ้มจื่นๆ ไปจนหลังๆ ชักปรี๊ดแตก !

ในหัวอกคนเขียนหนังสือจะมีอะไรเลวร้ายกว่า “การถูกตามต้นฉบับ” แต่ยัง “เขียนไม่ออก..ไม่มีงานส่ง” “ทั้งรู้ว่ามีเดดไลน์ คนรอ งานต้องเดิน บลาห์ บลาห์ ๆ” ตลอด 5 ปีมานี้คุณลุงเคราขาว มีอาการท้องผูกทางวรรณกรรมที่น่าเห็นใจ นั่นทำให้บรรรดาติ่งต้องตามติดและรอความคืบหน้าเรื่องนี้ตลอด-ตลอด

ยิ่งในขณะที่ SS6 ตอนสุดท้ายกำลังเดินทางมาถึงอยู่มะรอมมะร่อ เหล่า Fandom ทั่วโลกอดห่วงไม่ได้ว่า SS7 ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ ? เพราะตอนนี้เนื้อหาในซีรีย์แซงหนังสือไปแล้ว ฝั่ง HBO ประชุมเครียด เพราะเซ็นส์สัญญากับนักแสดง ทีมโปรดักชั่นไปไกลซะแล้วด้วย

แต่ลุงก็คือลุง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณลุงไปร่วมงานเปิดตัวนิยายเล่มใหม่ของสตีเฟ่น คิง นักเขียนที่มีขั้ววินัยการทำงานคนละด้านกับลุง มีผลงานตีพิมพ์ใหม่(แทบจะ) ทุกปี เขียนต่อเนื่อง ไม่เคยหยุดเคยหย่อน เมื่อทั้งคู่มาเจอกันจึงมีเรื่องคุย เรื่องแขวะกันบ้างตามสไตล์รุ่นใหญ่สายเบสต์เซลเลอร์

งานนี้จัดขึ้นในนิวเม็กซิโก เป็นบุ๊คทัวร์ที่คิงไปเปิดตัวนิยายไตรภาคเรื่อง “End of Watch” เป็นนิยายลำดับที่ 55 ในชีวิตการเขียน บนเวทีมีประเด็นดีเรื่องการควบคุม
การพกอาวุธปืนอย่างเสรี มียกเคสในออร์แลนโด้ ฟลอริด้ามาพูดถึงด้วย

แต่…ไฮไลท์อยู่ช่วงที่สองป๋า แซวกันบนเวทีตอนที่เวลาใกล้หมด

คิงปล่อยมุกว่า “จอร์จ คุณมีอะไรจะถามผมไหม ถามมาเหอะนาาา ”

หากฟังพวกเขาสนทนากันมาตลอดจะพบว่ามีประเด็นที่คิงถากๆ ไว้ละ เป็นประเด็นที่คนฟังจดจ่อรอฟังด้วยว่าคิงจะแหย่ถึงต้นฉบับ GOT เล่มใหม่จากจอร์จยังไง ?

เอาละ… คิงได้เวลาเล่นมุกจี้ใจดำเพื่อนเคราขาวเขาละ…

และจอร์จก็ตอบคิงได้ “เวรี่เวรี่แลนนิสเตอร์สไตล์”

“Yes There is something I want ask you how to f*_uck you write so many books so fast (แฟสสสสส ! แกออกเสียงได้เหมือนแสรดดดดดมากๆ ครับ) แถมพูดจบยังหัวเราะชอบใจแบบเอาเป็นเอาตายอีก งานนี้ลุงไม่ได้ถามเล่นๆ อยากรู้เหลือเกินว่า ทำไงแม่ม…ถึงจะเขียนหนังสือได้เร็วอย่างเฮีย…?

“6 เดือนนะเฮีย ผมแม่มเพิ่งเขียนได้ 3 บท แต่เฮียเขียนจบไปแล้ว 3 เล่ม !! เฮียทำได้ไงว้า….แสรดดดด ! (คำหลังจอร์จไม่ได้กล่าวครับ แฮร่ๆ )

จอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ติน ในวัย 67 คุยกับสตีเฟ่นคิงนักเขียนรุ่นพี่วัย 68 แทบจะอยากเสิร์พเบียร์แทนน้ำจืดบนโต๊ะนั่นจริงๆ

สิ้นเสียง…

ทุกคนฮากร๊ากกกก !

คิงเผยวิธีการเขียนแบบสตีเฟ่นคิงสไตล์ เพื่อว่าให้จอร์จปรับใช้ตาม

“คิงพยายามเขียนหนังสือให้ได้ 6 หน้าต่อวัน-ทุกวัน มีนิสัยที่ต้องเขียนวันละ 3–4 ชั่วโมง (ตอนนี้ลุงจอร์จดูหน้าจ๋อยๆ ) เช่น ถ้าวางแผนเขียนหนังสือหนา 360 หน้า ราชานิยายเขย่าขวัญบอกว่า …พี่น่ะ จะใช้เวลาโฟกัสให้เสร็จภายใน 2 เดือน !

จอร์จได้จังหวะถามแทรกว่า “เขียนแค่ 6 หน้าต่อวันงั้นเหรอเฮีย ? (เออ…สตีเฟ่นคิงตอบ) แล้วเวลาเฮียเขียนไอ้ประโยคกากๆ ประโยคหนึ่งขึ้นมา แล้วเกิดเฮียไม่ชอบมันละ เฮียจะแก้ ยังไง แล้วไหนเฮียต้องทำอย่างอื่น เช็คอีเมล์หรือว่าใช้ชีวิตประจำวัน …เฮียนะเทพเกินไปละ ?

คิงยังตอบเหมือนเดิมว่าต่อให้ชีวิตประจำวันเขาวุ่นๆ แค่ไหน ต้องไปหาหมอ ไปไปรษณีย์ แต่นี่มันชีวิตนักเขียนนะเว้ยจอร์จ ยังไงพี่ก็ต้องเขียนให้ได้วันละ 6 หน้า

แถมคิงยังร่ายยาว ยกตัวอย่างของเจ.เค.โรวลิ่ง ที่เขียนแฮรี่ พ็อตเตอร์จบจน เป็น 7 เล่มหนาๆ ว่ามีช่วงเวลาที่น้องเค้าชีวิตคับขันมาก นิยายเกิดดังเปรี้ยง ลูกเล็กเด็กแดงถามถึงตลอดๆ ว่าเมื่อไหร่จะออกเล่มใหม่ แต่นางก็ทำสำเร็จ ทำได้ดี เขียนตอนที่ยังไม่ดัง กับ ตอนที่ดังแล้ว มันก็ยากทั้งคู่แหละ ด้วยเห็นมะ

แกล่ะจอร์จ … ?

“Too true” จอร์จตอบ “จริงด้วย”

แต่ลุงก็คือลุง

“เฮีย…งั้นเดี๋ยวผมจะลองดูสักวันละ 8 ชั่งโมงแม่มเลย !

(อย่าเพิ่งเชื่อว่าเขาจะตอบแบบนี้นะครับ ดูคำตอบในคลิปเองเลย)

สองป๋าปิดบทสนทนาช่วงนี้ไปด้วยเสียงหัวเราะ เป็นการคุยที่สนุก เกรียนหน่อย แต่ให้เกียรติกันมาก

. . .

หลังจากมีเหตุการณ์นี้ออกมา ผมตามดูปฏิกิริยาของสื่อฯต่างๆ ที่พูดถึง

Esquire ให้ข้อมูลว่าโดยเฉลี่ยคิงเขียนนิยายเฉลี่ยปีละ 1.3 เล่ม เขามาทำแล้ว 42 ปีต่อเนื่อง หากจอร์จยอมเขียนวันละ 6 หน้าจริงเขาจะเขียน “Wind of Winter” จบคร่าวๆ ในเวลา 173.33 วัน! ที่ผ่านมาจอร์จเขียนนิยายมาแล้ว 32 เล่ม แต่ Game of Thrones หรือ “Song of Ice and Fire” ที่พวกเราฟินน์ๆ กันอยู่นับจากวันแรกที่เขียนถึงวันนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 20 ยังเขียนมาได้ 5 เล่มถ้วน

มันต้องหยุดโลกแน่ๆ

และต้องบอกว่านี่เป็นเรื่องเดียวของ GOT ในวันนี้ที่ยังไม่มีใคร Spoiled ได้
รวมทั้ง GRRM ว่าเล่มหน้าจะมาเมื่อไหร่

#

*หมายเหตุ : สำนวนการแปลคำพูดของสตีเฟ่น คิง และ จอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ติน
เป็นไปตามบริบทของบล็อกที่เขียนขึ้น ในฐานะที่เป็นแฟนบอยของทั้งคู่ครับ ไม่ได้มีเจตนาอื่นๆ

Trivia

ลุงจอร์จเขียนบล็อกแสนโบราณแต่คูลที่ Grrm.livejournal.com ที่มีคอนเซ็ปต์ว่า “Not a blog” เป็นที่ที่ลุงเล่นเองเขียนเองล่าสุดมาโพสต์วิดีโองานที่ไปเจอคิงด้วยภาษาน่ารักว่า “Here’s that video I promised” …มาละตามสัญญาที่ฉันบอกไว้GRRM หลงใหลสุนัขจิ้งจอกมาก จึงไม่แปลกที่ในภาคแรกจะมีสัตว์ชนิดนี้มาเปิดเรื่อง ส่วนซูเปอร์ฮีโร่ที่แกคลั่งคือ Spider Manนอกจากทวงต้นฉบับจะทำให้แกของขึ้นแล้ว ก็อย่าไปแซวลุงเรื่องใส่หมวก ลุงผมน้อยแล้วจึงต้องใส่ไว้รับค่าลิขสิทธิ์ปีละ 65 ล้านเหรียญฯ แต่ GRRM ยังสมถะ ใช้รถเก่าอยู่บ้านหลังเล็ก แถมยังพิมพ์นิยายด้วยโปรแกรม Dos Word Process จอดำๆ ไม่ต่ออินเตอร์เน็ต

#

Published by Montri Boonyasat
ref : EW



Similar Posts by The Author:

    發佈留言