Ome (Tokyo, Japan)

Я☰ИZ☰

Note :
The content of this entry is taken from my old blog
(http://otherside914.exteen.com << Permanently Closed)
posted on 15 Sep 2010

สวัสดีค่า …(。・ω・)ノ゙〜♪
เอนทรี่นี้จะพาไปเดินเล่นพิพิธภัณฑ์กันอีก วันนี้เราจะนั่งรถไฟไปที่เมือง Ome ซึ่งอยู่ในโตเกียวนั่นแหละ! ทริปนี้มีคุณปอย(ที่เคยไปปล่อยผีที่ชินจูกุเมื่อหลายเอนทรี่ก่อน)เป็นแกนนำแห่งความเกรียนรวมถึงเป็นไกด์ด้วย ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้เค่อะ

ว่ากันว่าที่มาของชื่อเมือง Ome นั้นมาจากต้นพลัมต้นหนึ่งที่มีเสาหินล้อมรอบซึ่งตั้งที่วัด Kongo-ji ที่อยู่ห่างออกไปจากสถานีประมาณ 15 นาที โดยเชื่อกันว่าต้นพลัมต้นนี้เกิดจากการที่นักรบที่เก่งกาจคนหนึ่งของญี่ปุ่นชื่อ Masakado ได้เดินทางมา ณ ที่แห่งนี้ แล้วก็ได้ปักก้านต้นพลัมที่ตนเองเคยใช้แทนแส้ม้าลงก่อนอธิษฐานว่า “หากความฝันของข้าจะเป็นจริง ขอให้กิ่งไม้นี้เติบโต หากไม่เป็นเช่นนั้นก็ขอให้เหี่ยวเฉาไป “ ต่อมากิ่งไม้นั้นก็มีรากงอกออกมาและเติบโตมาเป็นต้นไม้ แต่ว่าหลังจากฤดูร้อนผ่านพ้นไป ลูกพลัมบนต้นไม้นั้นก็ไม่สุกเสียทีแล้วก็เป็นสีเขียวอยู่แบบนั้น แล้วก็เป็นที่มาว่าทำไมบริเวณนี้ถึงได้ชื่อว่า Ome ที่แปลว่าต้นพลัมสีเขียวนั่นเอง แอร๋ย (ขอบคุณข้อมูลจาก www.att-japan.net ก้ะ)

Ome เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสมัยโชวะมากมาย รวมทั้งมีการสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อเก็บรวบรวมพวกสิ่งของต่างๆ ที่เคยผลิตออกมาใช้กันในสมัยโชวะด้วย ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ของกิน (คงเหลือแต่ห่อแหละ) เสื้อผ้า เหมือนว่าจะมีพิพิธภัณฑ์กิโมโนด้วยแต่เราไม่ได้ไปดู อ่าแอบเสียดาย

มาดูวิธีการเดินทางกันบ้าง
หากเดินทางโดยรถไฟ Ome จะอยู่ห่างจากสถานีชินจูกุไปประมาณ 1 ชั่วโมง
เริ่มจากวิธีไป ถ้ามาจากสถานี Shinjuku ให้ขึ้นรถไฟสาย Chuo แล้วไปลงที่สถานี Tachikawa หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปสาย Ome นั่งไปจนถึงสถานี Ome นั่นเองเด้อ!

ความรู้สึกแรกหลังจากลงรถไฟคือ “เก่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา” ไม่เชื่อมาดูภาพสถานีกันสิ

ลงจากรถก็แอบประทับใจโคมไฟเล็กๆ

ป้ายสถานี

ห้องนั่งพักของผู้โดยสาร

ป้ายหนังเก่าๆ ซึ่งจะพบเห็นได้เป็นระยะๆในเมืองนี้

ยินดีต้อนรับสู่โอเมะนะจุ๊

ร้านโซบะ

ใช้เจ้าหนูอะตอมกวักเรียกลูกค้า

มาดูทางออกจากสถานีกัน เริ่มจากเดินลงไปด้านล่าง

ลอดอุโมงใต้ดินที่เต็มไปด้วยป้ายหนัง

ภาพของ Ome ในสมัยโชวะ

ผลงานของ Akatsuka Fujio คุ้นๆ กันบ้างหรือเปล่า

ที่เมืองนี้มีพิพิธภัณฑ์ของ Akatsuka Fujio อยู่ด้วย

ทางออกสถานี

ลืมถ่ายหน้าสถานีมา ถ่ายมาแต่ร้านขายของชำกร๊าก

มีทั้งตึกเก่าๆและใหม่ๆปะปนกัน

ใต้ป้ายโฆษณาหนังมีตัวเลขกำกับไว้ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมันจะมีโบรชัวร์อะไรซะอย่างคอยบอกรายละเอียดเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นๆด้วย

เอาเป็นว่าวันนี้มาเดินขำๆ ซึมซับบรรยากาศแบบเรโทรกันก่อนคร่าวๆ เป็น Introduction to Ome กร๊าก เพราะยังมีพิพิธภัณฑ์ใน Ome สามแห่งด้วยกัน อันได้แก่

1. Showa retoro shohin hakubutsukan (Showa Retro Packaging Museum)
เป็นพวกแพกเกจสินค้าในสมัยโชวะ (ให้อารมณ์เหมือนพิพิธภัณฑ์ของเล่นเลย)

2. Akatsuka Kaikan (Fujio Akatsuka Memorial Hall)
พิพิธภัณฑ์เพื่อรำลึกถึง Akatsuka Fujio นักวาดการ์ตูนชื่อดัง

3. Showa Gentokan (Showa Color Slide Hall)
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จำลองเมืองและวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยโชวะมาเป็นขนาดย่อส่วน

Omake

ตัวอาร๊ายยย!!!

[04.2014]

























[04.2016]

ช่วงเมษาที่ผ่านมามีโอกาสได้ไป Tokyo Snake Center ที่ฮาราจูกุมาค่ะ

คือเกริ่นก่อนว่าเราเป็นภูมิแพ้ ทำให้ไม่สามารถไปคาเฟ่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ … ตอนที่กำลังหาข้อมูลว่าคราวนี้จะไปที่ไหนในโตเกียวที่ยังไม่เคยไปดี ก็ได้พบกับสิ่งที่โคตรตอบโจทย์ของเราที่นี่!!! มันคือคาเฟ่งูนั่นเอง !!! คือในตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้ชอบงูเป็นพิเศษไปกว่าสัตว์อื่นๆ แต่ก็ไม่ได้กลัว ก็เลยอยากลองไปดูว่ามันจะเป็นยังไง เพราะคิดว่ามันแปลกดี

ซึ่งก่อนที่ใครจะร้องโอร๋ง ต้องบอกก่อนว่ามันไม่ได้น่ากลัวและฮาร์ดคอร์อย่างที่คิดกันนะ มันมีความมุ้งมิ้งมากๆ เลยก๊าก แล้วก็ งูทุกตัวในร้านไม่ใช่งูพิษเพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่านั่งๆ อยู่โดนงูกัดตายอะไรแบบนี้ …

Tokyo Snake Center จะอยู่ชั้น 8 ของตึก Sampo Sogo ที่หน้าตาโคตรจะเป็นตึกออฟฟิศ ตอนที่มาถึงก็แบบ นี่มาถูกที่หรือเปล่า … แต่พอออกจากลิฟท์ เลี้ยวซ้ายปั๊บก็เจอร้านเลย

พอเปิดประตูเข้าไป ก็จะเจอกับเคาน์เตอร์ด้านขวามือ เราก็บอกกับเจ้าหน้าที่คือคุณพี่เสื้อดำ (ชื่อฮิซามิทสึ คาเนโกะ) ว่ามา 2 คน เขาก็จะแจกแจงราคาและกฏกติกามารยาทให้ทราบ โดยมีค่าเข้าคนละ 1,000 เยน นั่งได้ 1 ชั่วโมง และใน 1,000 เยนนั้นรวมเครื่องดื่มเอาไว้ด้วย (พวกชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม) ส่วนขนมอยากทานอะไรก็สั่งเพิ่มได้ (คิดแยกต่างหาก)

พอเข้าใจกันแล้ว เขาก็ให้เราเลือกน้องงูที่อยู่ในกล่องใสๆ ไปได้โต๊ะละ 1 กล่อง พอเลือกแล้วพนักงานก็จะถือไปวางที่โต๊ะให้ แล้วก็รับออเดอร์อาหารเครื่องดื่มของเรา

คาเฟ่นี้ขนาดกระทัดรัด (ตามสไตล์ญี่ปุ่น) มีอยู่สิบกว่าโต๊ะได้ ส่วนของที่วางๆ ด้านซ้ายมือของภาพคือของที่ระลึกที่เกี่ยวกับงู (มีขายคราบงูด้วยนะ) ตอนเราเข้ามาในร้านมีฝรั่งกลุ่มใหญ่มาก 1 กลุ่ม ฝรั่งกลุ่มเล็กอีก 1 กลุ่ม คนญี่ปุ่น 1 คนและพนักงานร้าน 3 คนก๊าก สงสัยร้านจะดังในหมู่ชาวต่างชาติน่าดูเพราะตอนเจอก็เจอจากเว็บข่าวภาษาอังกฤษ

ตรงนี้เป็นมุมลูบงู คือถ้าอยากจะจับงูก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ประมาณ 540 เยนเขาก็จะให้เรามานั่งตรงโซฟาสีแดงๆ (ไม่ได้ถ่ายมาอ่ะ) เอาผ้าให้คลุมตัก แล้วก็เอางูมาวางให้ลูบ

น้องงูตัวที่เราเลือกมาวันนี้ชื่อ คุโรฮิเมะ หน้าตาเป็นอย่างงี้

อย่าเพิ่งกรี๊ดนะทุกคน มันไม่ได้ตัวใหญ่อย่างที่เห็นก๊ากกก
ตัวจริงเล็กนิดเดียว สีดำทั้งตัว สวยมากๆ พอถ่ายซูมมามันเลยดูตัวใหญ่บึ้ม 
มีภาพตอนหาวด้วย แต่ถ่ายไว้ในไอโฟนภาพอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่

งูร้านนี้สู้กล้องมากๆ ไม่หนีนะครับ

ทีนี้ถ้าเราอยากดูงูตัวอื่นก็แค่บอกพนักงานว่าอยากเปลี่ยนเป็นตัวไหน เขาก็จะไปหยิบกล่องใหม่มาวางให้เรา เอากล่องเก่ากลับไปวางที่เดิม (เผื่อคนอื่นอยากได้ไปวางที่โต๊ะบ้าง)นี่เป็นตัวที่สองชื่อน้องบารอน

หล่อป่ะล่ะ สีสวยมากๆๆๆๆๆ

สู้กล้องอีกแล้วจ้ะ

ตรงกล่องๆๆ ที่เห็นนี้ก็จะเป็นที่พักผ่อนของบรรดางูๆ คุยกะคุณฮิซามิทสึ เขาบอกว่าที่นี่มีงูประมาณห้าสิบตัว แล้วก็ในร้านก็เพาะงูขายด้วย ตัวที่เราเห็นอยู่ในตู้ คือตัวที่พักผ่อนอยู่ (แบบ กินข้าวแล้วก็ต้องนอนนิ่งๆ ก๊าก) เขาจะผลัดกันเอางูออกมารับแขก ซึ่งเราว่าดีมากเลย มันดูได้พักเยอะดีเพราะมีงูเยอะ ผลัดกันออกมารับลูกค้า ไม่ใช่แบบ ตัวนึงเล่นกะลูกค้าทุกวัน แย่กันพอดี

ตัวนี้ภูมิใจนำเสนอมาก น้องงูตัวนี้ชื่อเฮจิมะ เป็นตัวที่ทำให้เรามาที่นี่ ตอนเปิดดูในเว็บแล้วแบบกรี๊ดแตกมาก มันน่ารักมากกกกกกก ดูปากมันสิโฮๆ น่าเสียดายวันนี้น้องพักผ่อน แต่ยังดีที่ได้เจอกันนะ พอพูดแบบนี้ก็มีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นป้าที่มาโฮสต์คลับเพราะติดใจโฮสต์เลยก๊าก!

ตัวนี้สวยมากๆ หน้าตาน่าเอ็นดูอีกแล้ว ชื่อคิโนะสุเกะ

ส่วนน้องงูตัวไหนที่ไปอยู่หน้าร้าน เช่นน้องบารอนที่มาอยู่ตรงโต๊ะเรา ก็จะมีป้ายแบบนี้แปะเอาไว้ ว่ากำลังทำงานอยู่จ้า 555 คุณฮิซามิทสึบอกว่างูที่นี่ขยันทุกตัวนะ

ตัวนี้นอนน่ารักอ่ะ โผล่หัวมาจึ๋งนึง

ตัวนี้เราจำชื่อได้แม่นเลย น้องอุด้ง คือสภาพมันเหมือนอุด้งมากๆ เดินผ่านกี่ครั้งมันก็นอนท่านี้ แช่น้ำ ทำตัวเหมือนเป็นอุด้งสำเร็จรูป น่าเอ็นดูสุดๆ

ส่วนเจ้าตัวนี้จำชื่อไม่ได้ แต่เลื้อยโคตรเก่ง แบบ กะยึกกะยักแอคทีฟมากๆ

เลื้อยไปก็เลื้อยมา

ตัวนี้หล่ออีกแล้ว เหมือนจะเป็นพี่น้องกะบารอนแต่สีเข้มกว่า เห็นความพยายามเอาซากุระมาใส่ในตู้เพิ่มบรรยากาศฤดูใบไม้ผลิ …

ตัวนี้ คุณฮิซามิทสึบอกว่า คนญี่ปุ่นชอบงูขาวมาก เพราะเชื่อกันว่างูขาวเป็น Messenger of God พูดจบฮีก็พนมมือ แล้วก็บอกว่า ขอเงินเยอะๆ นะครับ 
(เราก็เลยพนมมือบ้างแล้วก็บอกว่าขอเงินด้วยค่ะ)

ตัวนี้น่ารักดี ตอนแรกอยากได้ตัวนี้ไปตั้งที่โต๊ะเหมือนกัน แต่มันดูนอนอยู่เลยไม่ไปกวนดีกว่า พอจะออกจากร้านถึงเห็นว่ามันตื่นแล้ว

ออกจากร้านคุณฮิซามิทสึมายืนส่งพร้อมน้องบารอน 
(เห็นไม๊ว่างูตัวนิดเดียวจริงๆ ก๊าก)

โดยสรุปแล้ว เป็นประสบการณ์ไปคาเฟ่สัตว์ที่ประทับใจมากๆๆๆๆๆๆ คืองูน่ารักมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะชอบงูได้ขนาดนี้ แบบกลับมาแล้วอย่างเลี้ยงบ้างเลยทีเดียว (โดนพระมารดาสกัดดาวรุ่งทันที) แล้วก็รู้สึกว่าเขามีการจัดการที่ดี ไม่ใช่เอาสัตว์มาทรมานอ่ะ ส่วนพนักงานแต่ละคนก็เฟรนลี่ มีคุณพี่อีกคนที่เราจำชื่อไม่ได้ เขาบอกว่าเขาชอบสวนงูตรงสถานเสาวภาในไทยมากๆ แล้วเป็นเพื่อนกับเจ้าหน้าที่ที่นั่นด้วยนะ

ถ้าใครอยากลองไปบ้าง วิธีไปตามนี้เลย

東京都渋谷区神宮前6–5–6 サンポウ綜合ビル8F
TEL 03–6427–9912 / FAX 03–6427–9913
※2Fラーメン一蘭、B1Fカラオケ館のビル

Sampo Sogo building 8F, 6–5–6 Jingumae, Shibuya-ku, Tokyo
TEL 03–6427–9912 / FAX 03–6427–9913
※2F Tonkotsu Ramen ICHIRAN, B1F KARAOKEKAN

ร้านเปิด 11.00–20.00 ปิดวันอังคาร

รายละเอียดเพิ่มเติมไปดูในเว็บได้ http://snakecenter.jp/ ได้จ้า

[04.2016]

สงกรานต์ที่ผ่านมามีโอกาสไปดูนิทรรศการ Zakka: Goods and Things ที่จัดขึ้นที่ 21_21 Design Sight ตรง Tokyo Midtown ย่าน Roppongi เป็นไม่กี่นิทรรศการที่อยากดูแล้วยังหลงเหลืออยู่เพราะช่วงที่ไปเหมือนเป็นช่วงรอยต่อระหว่างนิทรรศการ เลยพลาดอะไรไปหลายอย่างมากๆ น่าเสียดายฮือ

Zakka ( 雑貨) แปลได้คร่าวๆ ว่าของกระจุกกระจิก หรือสิ่งของที่ไม่สามารถจัดหมวดหมู่ได้ โดยในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่นนั้น Zakka มักจะใช้หมายถึงของในชีวิตประจำวันเช่นกาต้มน้ำ ไม้กวาด ถ้วย ถัง กาละมัง บลาๆๆ แต่ต่อมา คำคำนี้ก็เริ่มมีความหมายที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้านอื่นๆ ของเล่น ไปจนถึงของที่เราซื้อมาแม้ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรดี(แต่ก็ยังซื้อ)

นิทรรศการนี้ก็เลยเป็นเหมือนการรวบรวมสิ่งที่เรียกว่า Zakka จากที่ต่างๆ มาให้ดูกัน และยังมีการสำรวจถึงวัฒนธรรมของ Zakka ความเปลี่ยนแปลง ดีไซน์ของ Zakka และอิทธิพลของ Zakka ที่มีต่อชีวิตของเราประมาณนั้น เพราะ Zakka กลายมาเป็นของที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราอย่างมากทีเดียว

ชิ้นนี้เป็นการจำลองรถเข็นขายของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในสมัยเมจิ แต่เป็นการเอาของใช้ในสมัยปัจจุบันไปใส่แทน

อันนี้คือแบบดั้งเดิม

.

.

อันนี้สนุกดี ให้เราตอบคำถาม ใช่-ไม่ใช่ แล้วมันจะจบลงที่ว่าไลฟ์สไตล์ที่เราชอบเป็นแบบไหน แล้วก็ไปหยิบเอกสาร/หนังสือ ที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่เราได้มามาอ่านได้

อันนี้เป็นการรวบรวม Zakka ในบ้าน ที่เป็นของจำเป็นในแต่ละวัน โดยเฉพาะของที่เรามักจะมีมากกว่า 1 ชิ้นในบ้าน มีมากเกินความจำเป็น และพวกของที่มีไว้แต่ก็ไม่เคยเอามาใช้ แล้วคนจัดก็เอามารวบรวม ทำเป็นเหมือนชั้นวางในร้านขายของสะดวกซื้อขึ้นมา

ดูตรงนี้เสร็จก็คิดว่าถ้าเอาของที่บ้านมาตั้งบนชั้นบ้างก็คงได้เป็นร้านเครื่องเขียนขนาดย่อมเลยทีเดียว

ผู้จัดตรงส่วนนี้มีอาชีพเป็น Stylist เลยบอกว่า ทุกๆ วันมีเขาจะนำ Zakka มาใช้ในงานเป็นจำนวนมาก เมื่อใช้งานเสร็จแล้ว Zakka เหล่านั้นก็ถูกนำไปเก็บ แล้วบางครั้งก็ถูกลืมไปเลย ตรงนี้ก็เลยเป็นการรวบรวม Zakka ที่เคยถูกลืมไป หรือเคยหายไปในส่วนลึกลับของบ้านเอาไว้ด้วยกัน แล้วก็ใช้ชื่อผลงานว่า Lost & Found

.

.

.

.

.

.

ชอบสกอตเทปอันนี้มาก ดูแล้วเหมือน Ammonite

.

.

พรมที่ทำจากตะขอ ออกแบบโดย We Make Carpets

ตรงนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับ Zakka ให้คนมานั่งพักผ่อนอ่านเพิ่มเติมได้

.

Venue :
21_21 Design Sight
9–7–6 Akasaka, Minato-ku, Tokyo

Date: February 26 — June 5, 2016
Closed: Tuesdays (Except March 15, May 3)
Time: 10:00–19:00 (Entrance until 18:30
Admission: General ¥1,100 
University Student ¥800 
High School Student ¥500 
Junior High School Student and under may enter for free
*¥200 discount for a group of over 15 people
*With a certification of disability, admission is free as well as that of an accompanying care-giver.

Website :
http://www.2121designsight.jp/en/program/zakka/

Kamakura





Similar Posts by The Author:

    發佈留言