ญี่ปุ่นไปรอบๆ: กว่าจะถึงจิบะ

Wซัง

ซีรีส์บันทึกเดินทาง “ญี่ปุ่นไปรอบๆ” ของ @wpotion กลับมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นบันทึกการเดินทางกับสมาชิกห้องแชทติดแอร์เช่นเคย (@Pattieez และ @Maykunn เจ้าเก่า) รวมเป็น 3 คน โดยในคราวนี้มีจุดมุ่งหมายหลักคือการไปดูไลฟ์ของกลุ่มยูนิตเซย์ยู มิลกี้โฮล์ม (ミルキィホームズ) ที่จู่ๆช่วงหลังก็ติดขึ้นมาเพราะเกิดอาการลากยาวไหลมาจากการดูเซย์ยูของเลิฟไลฟ์! ทั้งมิโมรินและโซระมารุ (ทั้งสองคนอยู่ในมิลกี้โฮล์ม)

จริงๆมิลกี้โฮล์มก็จัดเป็นมีเดียมิกซ์แบบพวกเลิฟไลฟ์!นั่นหละ คือมีทั้งขายอนิเม ขายวาไรตี้ของเซย์ยู เพลง บลาๆ แต่จะเน้นไปทางเซย์ยูมากหน่อยกระมัง (ถึงจะมีอนิเมออกมาหลายภาคและบั่นทอนปัญญาเป็นส่วนใหญ่ก็เถอะ)

เรียกว่าแม้จะไม่ได้ติ่งมิลกี้มานาน แต่จู่ๆก็จะไปดูไลฟ์กันซะแล้วหละ อนึ่งบัตรไลฟ์ในครั้งนี้เป็นที่พวกเราได้ เป็นรอบเปิดขายของออฟฟิเชียลแฟนคลับ ที่ต้องเสียสมัครค่าสมาชิกรายปี ทำให้สามารถได้สิทธิซื้อบัตรที่นั่งบัตรกันได้ง่ายครบ 3 คน (รอบที่ไม่ต้องเป็นแฟนคลับก็หาบัตรได้ แต่ว่าต้องไปลุ้นไปอะไรมากมายอีกทีละมั้ง) ต้องขอบคุณแพตตี้ที่ดำเนินการตรงนี้ให้ด้วย สำหรับราคาก็อยู่ที่ 2 วันรวมแล้ว 14,000 เยน

เอาหละเรื่องว่าพวกเราได้บัตรคอนมาอย่างไรก็คร่าวๆไว้แค่นั้นก่อน ก่อนเดินทางก็เตรียมของไปให้พวกสาวๆกันตามเรื่องตามราว เนื่องจากเป็นชาวไทย ของที่ฝากก็ควรจะไปหาในแหล่งไทยๆ เลยไปซื้อที่จตุจักรกันมาแพคใส่ตามสะดวก


การเตรียมตัวก่อนการเดินทาง

เนื่องจากชินแล้วพอสมควรกับการไปญี่ปุ่น (เป็นครั้งที่ 3 สำหรับทุกคนในทริปนี้) การวางแปลนเที่ยวสำหรับพวกเราจึงออกแนวหลวมๆหน่อยและไม่เร่งรีบอะไรมาก ที่พักในคราวนี้เป็นการพักแบบเกสเฮาส์โดยจองผ่าน AirBNB ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านที่พักเป็นเหลือ 7,458 บาทต่อ 9 คืน ส่วนค่าเครื่องบินไปกลับในคราวนี้ใช้บริการของแอร์มาเก๊า (Air Macau) ราคาคนละ 11,595 บาท

วันที่ 13 พฤษภาคม 2016

ตามกำหนดการพวกเราจะเดินทางกันประมาณตี 3 เลยไปแกร่วแถวๆสุวรรณภูมิตั้งแต่ช่วง 5 ทุ่มกว่าๆแล้วหละ มีแลกเงินเพิ่มเติมนิดหน่อยสำหรับพลพรรคที่ฝากซื้อของ (แลกเงินที่สนามบินนี่ค่าเงินก็ไม่ได้ต่างจากไปแลกที่ร้านส้มร้านเขียวเท่าไร สบายกว่าที่คิดด้วย) โดยก่อนเครื่องออกประมาณ 3 ชม.ก็มารอเช็คอินกันตามปกติ

หลังจากเช็คอินและดรอปกระเป๋าเสร็จก็มาเดิน ในส่วนดิวตี้ฟรีในสุวรรณภูมิ ของก็เยอะดีใช้ได้แม้พวกเราจะไม่ได้คิดซื้ออะไรก็เถอะ อนึ่งแล้วในคราวนี้ออกจะไฮโซซักเล็กน้อยเพราะไปนั่งที่เลาจน์ของคิงพาวเวอร์ (King Power) ที่มีน้ำมีหนมให้นั่งกินกันฟรีๆ.. แต่ต้องมีบัตรสมาชิกมาแสดงกันก่อนแค่นั้นเอง ใครที่อยากได้ที่นั่งฟรีก็ลองไปสมัครบัตรสมาชิกกันเผื่อๆไว้ช่วงที่สมัครฟรีได้นะ โดยเลาจน์ของคิงพาวเวอร์นี่จะอยู่บริเวณโซน A

แน่หละพอคนว่างก็มักจะหาอะไรทำ ถ่ายรูปด๋อยใส่หน้าโซระมารุแล้วถ่ายรูปหมู่เป็นศิริมงคล (จริงๆแล้วต้องสปอยว่าจะถ่ายรูปด๋อยแค่ตอนนี้นั่นหละ หลังจากนี้ก็เรื่อยเปื่อย) แล้วก็วนเวียน นั่งเล่นมือถือ คุย นอนเล่น กิน จนถึงเวลาประมาณ 01:30 น. ถึงจะเริ่มออกเดินไปเกทกัน (เครื่องออก 02:55 น.) ซึ่งก็คิดว่าเผื่อเวลาไว้เยอะแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไปนั่งรอนั่งหลับในเครื่องเอา

แต่..


พวกเราเจอกับคำว่า “FINAL CALL” เมื่อตอนเดินไปถึงหน้าเกท.. ทำไมหละ!!! ทำอะไรผิดเนี่ย เวลาก็ไม่ได้ใกล้ขนาดนั้นนี่นา แต่กลับขึ้นเครื่องเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ

ก็ไม่เป็นไร ขึ้นเครื่อง รีวิวแอร์มาเก๊ากันซักเล็กน้อย อันดับแรกคือความสะอาดของเครื่องอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือไม่ได้รู้สึกเนี๊ยบมาก บางอย่างก็พังๆเล็กๆ แต่การขึ้นลงเครื่องก็ดูปลอดภัยดีแม้จะโคลงๆบ้างตอนขึ้นลง (คงเป็นเรื่องปกติของเครื่องบินขนาดเล็ก) ไม่มีจอทีวีส่วนตัวให้ดู มีแต่จอรวมเป็นส่วนๆ ประมาณ 3 แถวต่อ 1 จอ ไม่มีแมกกาซีน ผ้าห่มและหมอนต้องขอและแย่งชิงกันเอง มีอาหารให้

แต่ตรงอาหารนี่หละเด็ดจนต้องเขียน

มื้อแรกเป็นมื้อตอนตี 4 ครึ่ง ระหว่างเส้นทางเปลี่ยนเครื่องที่มาเก๊า อาหารมื้อแรกของทริปนี้ “ขนมปังชีสในตำนาน” ก็มาเสริมในห่อฟอยล์ แน่นอนว่าความร้อนของชีสและห่อฟอยล์เป็นอะไรที่พวกเราคาดเดาเอาไว้แล้วหละ และทีนี้เหล่าโฮสเตสสาวก็ยื่นแก้วกระดาษมาให้ พวกเราก็ถือไว้ จากนั้นพวกนางก็บรรจงรินน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ

ซึ่งมันร้อนมาก ร้อนแบบตกใจ แต่ก็ต้องอดทนไว้เอามาวางเหมือนเดิม.. คือจะเล่นเกมตกใจกันก็ไม่บอก แล้วไม่รู้ว่าเป็นวัฒนธรรมฮ่องกง-มาเก๊าหรืออย่างไรที่จะต้องกินอาหารร้อนพร้อมกับน้ำร้อน..

เดินทางอีกซักแปปก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติมาเก๊า (MFM) พวกเราไม่รีบก็ค่อยๆออกตามสไตล์ พบเจอสิ่งแปลกคือรถขนส่งผู้โดยสารที่ลอยๆเหมือนไม่มีล้อ..



MFM เป็นสนามบินขนาดเล็กที่มีความเท่อยู่ คือก่อสร้างอยู่บนทะเลทั้งหมด ช่วงแลนดิ้งและเทคออฟจะรู้สึกอเมซิ่งเล็กๆ + ทึ่งในเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทำให้แพลตฟอร์มมันแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ทั้งๆที่อยู่ริมทะเล แต่ถ้านับส่วนของอาคารผู้โดยสารนั้นเล็กกว่าสนามบินของฮ่องกงที่เคยต่อเครื่องเมื่อปีที่แล้วเยอะ ร้านรวงต่างๆก็น้อยตามไปด้วย เนื่องจากยังเช้าตรู่เลยได้แต่เอาเงินฮ่องกง (ของเมคุง) หยอดตู้น้ำหาน้ำดื่มมาดื่มไปก่อนเพราะขี้เกียจไปกดตู้กินเอา

ที่นี้ใช้เงินฮ่องกงหรือเงินมาเก๊าก้ได้นะ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินมาเก๊าจะอ่อนกว่าฮ่องกงเล็กน้อย แต่ว่าสามารถใช้กันได้ในอัตราเท่ากัน 1:1 เลย

พอไม่มีอะไรทำเท่าไรนอกจากเดินโต๋เต๋ในอาคารไปมา เลยเลือกที่จะไปนอนมันหน้าเกทเลยเพื่อป้องกันอาการไฟนอลคอลอีกรอบ นอนยาวนอนหลับสนิทกันทั้งสามคนมาก จนเวลาใกล้ๆซักแปดโมงเช้าก็มีกลุ่มคนมาเยอะส่งเสียงจ้อกแจ้กจนตื่นแล้วหละ ก็พอดีกับการไปต่อคิวขึ้นเครื่องไปนาริตะพอดี

รอบที่ไปญี่ปุ่นนี้ไม่เจอขนมปังชีสแล้ว สบายใจได้ และเจอน้ำเย็นตามปกติด้วย ซึ่งจริงๆมันก็เป็นเรื่องปกติหละ.. ถ้าจำไม่ผิดมื้อนี้จะกลายเป็นสุกียากี้เนื้อตามสไตล์ญี่ปุ่นแล้ว





ถึงนาริตะอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ไปโตเกียว

มาถึงนาริตะกันอีกรอบแล้ว คราวนี้เป็นการมาถึงในยามเย็นเป็นรอบแรก อากาศก็กำลังดี พวกเราที่ไม่ได้มีความเร่งรีบอะไรเนื่องจากกำหนดการในวันแรกมีแค่หาแฟมิลี่มาร์ทสำหรับแลกตั๋วไลฟ์คอนเสิร์ตแค่นั้นเองจึงเดินกันแบบเปื่อยสุดๆ เปื่อยจนคุณลุงเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินต้องขับรถมารับเลยทีเดียว แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดี ได้สนทนากันด้วยภาษาอังกฤษเล็กๆน้อยๆ

ลุงบอกว่าวันนี้อากาศร้อน.. (ราวๆ 20 องศา) ถ้าอากาศประมาณนี้แล้วคุณลุงยังบอกว่าร้อนนี่ไปเมืองไทยไม่ได้เลยนะ อาจจะสิ้นชีวิตได้เหมือนติดพิษเลยทีเดียว

ที่แปลกกว่าที่เคยมาคือคราวนี้เราจะตรงเข้าไปในตัวเมืองของจังหวัดจิบะ (Chiba) โดยตรง เพราะว่าสถานที่ดูไลฟ์ของพวกเราจะอยู่ในจังหวัดจิบะนี่หละ แล้วก็คงไม่เหมาะที่จะเดินทางไปๆมาๆจากโตเกียวด้วยเพราะคงเหนื่อยกัน แต่ว่าการเดินทางตรงจากนาริตะไปตัวเมืองจิบะก็ไม่ได้ยากอะไร เพราะรถไฟสายเคย์เซย์ที่คุ้นเคยก็มีวิ่งตรงไปได้เช่นกัน

โดยจากนาริตะเราจะไปลงที่สถานีเคย์เซย์-ซึดานุมะ (Keisei-Tsudanuma) แล้วต่อรถด้วยสายชิน เคย์เซย์ ไปลงสถานี ยาคุเอ็นได (Yakuendai) เดินอีกแค่ราวๆไม่กี่นาที (น่าจะ 5 นาที) ก็ถึงที่พักของพวกเราใน 3 คืนแรกนี้จากการหาที่พักจาก AirBNB พวกเราก็กดรหัสเอากุญแจแล้วก็เข้าพักกันได้ตามปกติ

เพียงแต่ว่าตอนแรกต้องได้พักที่ห้อง 308 แต่คุณพอลที่เป็นเจ้าของเมสเซจมาบอกให้ไปพักที่ห้อง 309 แทนเนื่องจากปัญหาด้านน้ำ? ก็ไม่เป็นไรไม่ได้เป็นจุดหลักสำคัญอะไรขนาดนั้นเพราะห้องก็มีขนาดที่เท่าๆกันนั่นหละ





เมื่อเอากระเป๋าวางแล้วก็ได้เวลาสำรวจเมืองเพื่อทำภารกิจแรก นั่นคือการหาแฟมิลี่มาร์ทเพื่อเอารหัสจองตั๋วที่จ่ายตังไปแล้วไปแลกเป็นบัตรไลฟ์ไว้เข้าคอน โดยแฟมิลี่มาร์ทอยู่ห่างจากสถานีเราราวๆ 1 สถานีพอดี ซึ่งก็เป็นระยะทางที่ยังพอเดินไปได้แบบสบายๆเลยเลือกเดินไปกันดีกว่า

เขตยาคุเอ็นไดนี่เงียบสงบมาก เป็นเมืองที่เหมาะกับการอยู่อาศัยจริงๆ บ้านแต่ละหลังก็ดูเล็กๆจุ๋มจิ๋มมีความเป็นระเบียบ เรียกได้ว่าถ้าเคยอ่านมังงะญี่ปุ่นมาแล้วจะเจอเด็กๆวิ่งคาบขนมปัง หรือทักทายเพื่อนสาวข้างบ้าน ก็น่าจะเกิดในเมืองที่เป็นชานเมืองราวๆนี้หละ








ถึงจะดูเงียบแต่ว่ารถราก็มีพอสมควร ทางเดินแคบๆก็พอจะนำเราไปไหนมาไหนได้โดยปลอดภัย แค่อย่าทะลึ่งเดินปาดซ้ายปาดขวาก็พอ พอได้เดินในเมืองที่ไม่ใช่โตเกียวนี้ทีไรก็ได้รู้สึกว่ามีบรรยากาศสบายๆแบบสโลว์ไลฟ์จริงๆ อ้อ เมืองนี้มักจะมีอะไรแปลกๆแบบเดินไปก็เจอประติมากรรมศิลปะที่ตีความได้ยากวางอยู่ในดูกันด้วย (?)


เดินได้ราวๆ 20 นาทีก็มาถึง แต่นแต๊น ร้านที่พวกเรารอคอย แฟมิลี่มาร์ทที่ต้องดั้นด้นกันมา พบเจอแล้วก็ตรงดิ่งเข้าไปกดเอาบัตรคอนกันเลยจากรายละเอียดที่พิมพ์มา ใช่แล้ว ต้องปรับเป็นภาษาอังกฤษก่อน!

แม้ว่าจะปรับไปแล้ว UI ของเครื่องก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยก็ตาม (..)

กดไม่ได้.. กดลองวนอยู่ 2–3 รอบ ก็ไม่เป็นผล.. ต้องทำไงหละ!! คำตอบคือเปลี่ยนมันกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นก็จะเอาโค้ดจอง+พาส แลกใบออกมาได้แล้ว.. จากนั้นก็เอาไปยื่นกับคุณพนักงานเพื่อเปลี่ยนเป็นตั๋วแบบใบๆ (ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแล้ว)

และก็ซื้อขนมซื้อเครื่องดื่มมากินกันตามระเบียบ


ขาเดินกลับก็เดินไปอีกทางเพื่อความสนุกสนาน ได้พบเจอกับห้างขายของกินแบบเดี่ยวๆที่ดูดี (ชอบห้างแบบนี้ มีอาหารที่ดูดี ราคาดี และมีการลดราคาที่ดี)


ช่วงขากลับก็จะเป็นราวๆทุ่มนึง คนก็กลับมาจากการไปเรียนไปทำงานในตัวเมือง ก็รู้สึกมีผู้คนพลุกพล่านขึ้นมาบริเวณสถานีรถไฟเลยทีเดียว อนึ่งรถไฟในแถบชานเมืองนี้ไม่ได้มาชม.ละ 20 ขบวนแบบในโตเกียว แต่จะเหลือเพียง 2-3 ขบวนต่อชม.เอง ฉะนั้นถ้าจะเดินทางก็ดูตารางเวลากันให้ดีๆด้วยหละ




สำหรับมื้อเย็นในวันนี้ ตอนแรกคิดว่าจะซื้อมาจากซุปเปอร์ขายของกินที่เจอแถวแฟมิลี่มาร์ทแต่ว่าขี้เกียจแบก กะจะมาหาแถวๆบ้านพัก จนสุดท้ายก็ไม่เจอ แต่ว่าหน้าบ้านพักก็มีร้านข้าวที่ดูดีอยู่ในชื่อ คิชเชน ออริจิน (Kitchen ORIGIN)


ขายกับข้าวแบบตักเอง เลือกตามใจชอบแล้วคิดราคา หรือจะสั่งกับข้าวสดก็ได้ รสชาติใช้ได้อยู่ เทียบกับราคาก็ไม่แพง ผสมกับไปซื้อของจากแฟมิลี่มาร์ทอีกเล็กน้อยก็เป็นอันใช้ได้สำหรับวันแรกนี้

นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว อาบน้ำนอนตามปกติ ที่พักเหมือนจะแคบ แต่ว่าก็โอเคสำหรับพวกเราที่เคยพักที่ๆแคบกว่านี้กันมาแล้ว (หึ..) สำหรับวันนี้นอนกันตั้งแต่ 3 ทุ่มอย่างไม่น่าเชื่อเพราะต้องไปต่อคิวซื้อของหน้าไลฟ์กันอีกในวันพรุ่งนี้ไงหละ~!

รีวิวที่พัก Funabashi Cozy Apartment
สะอาดดี แต่ตอนแรกบอกมีเครื่องซักผ้าแต่ไม่มี กลายเป็นตู้โล่งถ้าไม่เก็บที่นอนพวกเราจะไม่มีที่ดำรงชีวิตมีระเบียงที่ลมตากใช้ได้ ไว้ตากเสื้อห้องน้ำไม่แยกส่วนเปียกแห้ง ลำบากเล็กๆใกล้คอมบินิมาก ใกล้สถานีมาก ถ้าจะมาดูคอนที่มาคุฮาริ ไม่ผิดหวัง



Similar Posts by The Author:

    發佈留言